ข่าวออนไลน์สำนักข่าว SBS วันที่ 5 มิ.ย. 2020 เสนอข่าว ACT มีผู้ติดเชื้อโคโรนา 2019 ครั้งแรกในรอบ 1 เดือนในขณะที่รัฐน.ซ.ว.ไม่พบผู้ติดเชื้อเป็นวันที่สองติดต่อกัน
7 มิ.ย. 2020 ยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ COVID-19 สะสมในออสเตรเลียในช่วงสองวันนี้เพิ่มขึ้น 9 รายเป็น 7,260 คน ส่วนยอดผู้เสียชีวิตยังคงอยู่ที่ 102 คน และผลการทดสอบการตรวจเชื้อทั่วประเทศทำไปแล้ว 1,617,462 คน พบผู้ติดเชื้อเฉลี่ยที่ 0.4%
ในวันนี้เหลือผู้ป่วยติดเชื้อทั้งสิ้น 455 คน เป็นผู้เข้ารักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลทั่วประเทศ 18 คน รักษาตัวในห้องไอซียู 3 คน ส่วนที่เหลือเก็บตัวพักฟื้นอยู่ตามศูนย์กักตัวและสถานที่พักส่วนบุคคล
ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขเครือรัฐออสเตรเลียวันที่ 7 มิถุนายน ตัวเลข ACT เมื่อวานยังแสดงวันที่มีผู้ป่วยรายใหม่เป็นศูนย์อยู่ที่ 33 วัน แต่วันนี้กลับมาตั้งไข่ใหม่ที่ 0 ส่วนดินแดน NT ยังเป็นพระเอกไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 36 วัน
ACT มีผู้ติดเชื้อโคโรนา 2019 ครั้งแรกในรอบ 33 วัน
ดินแดนแแสเตรเลียนแคพิทอลเทร์ริทอรี (ACT) ต้องสูญเสียสถิติปลอดผู้ติดเชื้อรายใหม่หยุดเพียงแค่ 33 วัน หลังมีผู้ติดเชื้อ COVID-19 รายแรกนับตั้งแต่วันที่ 4 พฤษภาคม
ผู้ทำให้ ACT ต้องยุติสถิติเป็นชายวัย 40 ปีเศษเดินทางกลับมาจากต่างประเทศ เข้ากักกันโดยรัฐ (state quarantine) ที่แรงแรมแห่งหนึ่ง ในระหว่างถูกกักกันผลการตรวจการติดเชื้อ COVID-19 ออกมาเป็นบวก
ข่าวออนไลน์นสพ. Sunday Mail ฉบับวันอาทิตย์ของ The Advertiser วันที่ 7 มิ.ย. 2020 เสนอข่าวผู้ประท้วง ‘Black Lives Matter’ หลายพันคนมาชุมนุมกันในการนครแอดิเลด ผู้เชี่ยวชาญทางสาธารณสุขเตือนว่า แม้หลายคนจะสวมหน้ากากอนามัย แต่การละเลยกฎทิ้งระยะทางทางสังคมทำให้ผู้ร่วมประท้วงเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
สรุปสถานการณ์ไวรัสโคโรนา 2019 ทั่วโลกล่าสุด
ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ COVID-19 สะสมทั่วโลก 50 ประเทศแรก ณ เวลา 23.00 น. ของวันที่ 7 มิถุนายน 2020 จากข้อมูลของมหาวิทยาลัยจอห์นฮอปกินส์มีผู้ติดเชื้อทั่วโลกแล้ว 6,927,639 คน แยกเป็นประเทศสหรัฐอเมริกา 1,920,061 คน, บราซิล 672,846 คน, รัสเซีย 467,073 คน, สหราชอาณาจักร 286,295 คน, อินเดีย 248,228 คน, สเปน 241,310 คน, อิตาลี 234,801 คน, เปรู 191,758 คน, ฝรั่งเศส 190,759 คน, เยอรมนี 185,745 คน, อิหร่าน 171,789 คน, ตุรกี 169,218 คน, ชิลี 127,745 คน, เม็กซิโก 113,619 คน, ซาอุดิอาระเบีย 101,914 คน, ปากีสถาน 98,943 คน, แคนาดา 96,475 คน, จีน 84,186 คน, กาตาร์ 68,790 คน, บังคลาเทศ 65,769 คน, เบลเยี่ยม 59,226 คน, เบลารูส 48,630 คน, เนเธอร์แลนด์ 47,780 คน, แอฟริกาใต้ 45,973 คน, สวีเดน 44,730 คน, เอกวาดอร์ 42,728 คน, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 38,808 คน, สิงคโปร์ 37,910 คน, โคลัมเบีย 36,759 คน, โปรตุเกส 34,693 คน, อียิปต์ 32,612 คน, คูเวต 31,848 คน, อินโดนีเซีย 31,186 คน, สวิตเซอร์แลนด์ 30,965 คน, ยูเครน 27,599 คน, โปแลนด์ 26,249 คน, ไอร์แลนด์ 25,183 คน, อาร์เจนตินา 22,020 คน, ฟิลิปปินส์ 21,895 คน, โรมาเนีย 20,479 คน, อัฟกานิสถาน 20,342 คน, สาธารณรัฐโดมินิกัน 19,195 คน, อิสราเอล 17,783 คน, ญี่ปุ่น 17,027 คน, ออสเตรีย 16,868 คน, โอมาน 16,882 คน, ปานามา 16,004 คน, บาห์เรน 14,763 คน, โบลิเวีย 13,358 คน,และอาร์เมเนีย 13,130 คน, / ออสเตรเลีย 7,260 คน,และ / ประเทศไทย 3,112 คน (ไทยอยู่อันดับที่ 80 ของโลก ในสองวันนี้มีผู้ป่วยเพิ่ม 10 คนเป็นคนไทยที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศทั้งสิ้น ประเทศไทยไม่พบผู้ป่วยติดเชื้อในประเทศมาเป็นเวลา 13 วัน)
และผู้เสียชีวิตจากข้อมูลของมหาวิทยลัยจอห์นฮอปกินส์มีทั้งสิ้น 400,290 คน แยกผู้เสียชีวิตจากมากไปหาน้อยดังนี้ สหรัฐ 109,802 คน, สหราชอาณาจักร 40,548 คน, บราซิล 35,930 คน, อิตาลี 33,846 คน, ฝรั่งเศส 29,145 คน, สเปน 27,135 คน, เม็กซิโก 13,511 คน, เบลเยี่ยม 9,595 คน, เยอรมนี 8,685 คน, อิหร่าน 8,281 คน, แคนาดา 7,850 คน, อินเดีย 6,957 คน, เนเธอร์แลนด์ 6,032 คน, รัสเซีย 5,851 คน, เปรู 5,301 คน, ตุรกี 4,669 คน, สวีเดน 4,659 คน, จีน 4,638 คน, เอกวาดอร์ 3,608 คน, ปากีสถาน 2,002 คน, สวิตเซอร์แลนด์ 1,921 คน, อินโดนีเซีย 1,851 คน, ไอร์แลนด์ 1,678 คน, ชิลี 1,541 คน, โปรตุเกส 1,479 คน, โรมาเนีย 1,326 คน, โคลัมเบีย 1,204 คน, อียิปต์ 1,198 คน, โปแลนด์ 1,155 คน, ฟิลิปปินส์ 1,003 คน, แอฟริกาใต้ 952 คน, ญี่ปุ่น 917 คน, บังคลาเทศ 888 คน, ยูเครน 796 คน,และซาอุดิอาระเบีย 712 คน,/ ออสเตรเลีย 102 คน (แยกเป็นน.ซ.ว. 48 คน, วิกตอเรีย 19 คน, แทสเมเนีย 13 คน, เวสเทิร์นออสเตรเลีย 9 คน, ควีนสแลนด์ 6 คน, เซาท์ออสเตรเลีย 4 คนและ ACT 3 คน) และประเทศไทย 58 คน
มีผู้ป่วยได้รับการรักษาจนหายแล้วข้อมูลจากสารนุกรมเสรีวิกิพีเดียมีทั้งสิ้น 3,096,328 คน เรียงจากมากไปหาน้อย สหรัฐอเมริกา 457,721 คน, บราซิล 302,084 คน, รัสเซีย 226,731 คน, เยอรมนี 169,091 คน, อิตาลี 165,078 คน, สเปน 150,376 คน (ยอดไม่เคลื่อนไหวมาหลายวันแล้ว), ตุรกี 135,322 คน, อิหร่าน 134,349 คน, อินเดีย 119,293 คน, เปรู 82,731 คน, เม็กซิโก 81,544 คน, จีน 78,332 คน (เหลือผู้ป่วย 70 คน), ซาอุดิอาระเบีย 72,817 คน, ฝรั่งเศส 70,806 คน, แคนาดา 53,614 คน, ชิลี 44,946 คน (ยอดไม่เคลื่อนไหวมาหลายวันแล้ว), การ์ต้า 44,338 คน, ปากีสถาน 33,465 คน, สวิตเซอร์แลนด์ 28,700 คน, สิงคโปร์ 24,559 คน, แอฟริกาใต้ 24,258 คน, เบลารุส 23,647 คน, ไอร์แลนด์ 22,698 คน (เหลือผู้ป่วย 780), สหรัฐอาหรับอิมิเรทต์ 21,086 คน, โปรตุเกส 20,995 คน, คูเวต 20,205 คน, เบลเยี่ยม 16,291 คน, ออสเตรีย 15,793 คน (เหลือผู้ป่วย 437 คน), ญี่ปุ่น 15,139 คน (เหลือผู้ป่วย 1,086 คน), อิสราเอล 15,064 คน (เหลือผู้ป่วย 2,422 คน), โรมาเนีย 14,638 คน, โคลัมเบีย 14,382 คน, / เกาหลีใต้ 10,552 คน (เหลือผู้ป่วย 951 คน), ออสเตรเลีย 6,703 คน (เหลือผู้ป่วย 452 คน ยอดคงเหลือที่แท้จริง 455), ประเทศไทย 2,972 คน (เหลือผู้ป่วย 82 คน), (หมายเหตุ ที่มีวงเล็บต่อท้ายเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จในการรักษาผู้ป่วยจนเหลือต่ำกว่า 2,500 คน และสหราชอาณาจักรเป็นประเทศเดียวที่ไม่มีรายงานผู้หายป่วยมาตั้งแต่แรก)
ภาพกร๊าฟของกระทรวงสาธารณสุขออสเตรเลียแสดงผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในระหว่างวันที่ 22 ม.ค. 2020 ถึง 7 มิ.ย. 2020 ในรูปแบบของกร๊าฟแท่งสีฟ้าแสดงยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นในแต่ละวัน ในช่วงระหว่างวันที่ 12 เม.ย. ถึง 5 มิ.ย. 2020 ยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่อยู่ที่เฉลี่ยวันละ 17.03 คน / ส่วนกร๊าฟเส้นสีเหลืองแสดงยอดผู้ป่วยสะสมในระหว่างวันที่ 22 มกราคม 2020 ถึง 7 มิถุนายน 2020
ข้อมูลแหล่งที่มาของผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในออสเตรเลียโดยกระทรวงสาธารณสุข ณ วันที่ 7 มิถุนายน จะเห็นว่า 62.3% ของผู้ติดเชื้อเป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ จึงไม่แปลกอะไรที่รัฐบาลกลางยังคนใช้มาตรการปิดประเทศห้ามชาวต่างชาติเข้าออสเตรเลีย
รายงานยอดผู้ติดเชื้อ COVID-19 ในออสเตรเลีย
ผู้ติดเชื้อไวรัส COVID-19 จากตัวเลขล่าสุดโดยกระทรวงสาธารณสุขออสเตรเลีย ณ 15.00 น. ของวันที่ 7 มิถุนายน 2020 มีผู้ติดเชื้อสะสม 7,260 คน โดยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นในช่วงสองวัน 9 คนนับจากเวลา 15.00 น.ของเมื่อวานนี้สามารถแยกผู้ป่วยเป็น (ม.จอห์นฮอปกินส์ระบุออสเตรเลียมีผู้ติดเชื้อ 7,260 คน ส่วนวิกีพีเดียระบุ 7,257 คน)
รัฐน.ซ.ว. 3,109 คน (ปรับลดลง 1 คน), รัฐวิกตอเรีย 1,685 คน (เพิ่มขึ้น 2 คน), รัฐควีนสแลนด์ 1,062 คน (เพิ่มขึ้น 4 คน), รัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย 599 (เพิ่มขึ้น 3 คน), รัฐเซาท์ออสเตรเลีย 440 คน, รัฐแทสเมเนีย 228 คน, ออสเตรเลียนแคพิทอลเทร์ริทอรี 108 คน (เพิ่มขึ้น 1 คน), นอร์เทิร์นเทร์ริทอรี 29 คน
ในจำนวนนี้เสียชีวิตสะสมที่ 102 คน มีผู้รักษาหาย 6,703 ราย, มีการทดสอบการตรวจเชื้อทั่วประเทศแล้วกว่า 1,617,000 คน โดยพบผู้ติดเชื้อในอัตรา 0.4%
ในจำนวนผู้ติดเชื้อรวมถึงผู้มาจากเรือสำราญ Diamond Princess จำนวน 10 คน แยกเป็นรัฐวิกตอเรีย 4 คน, ควีนสแลนด์ 3 คน, เวสเทิร์นออสเตรเลีย 2 คน และเซาท์ออสเตรเลีย 1 คน
นสพ. The Sunday Mail หนังสือพิมพ์ฉบับวันอาทิตย์ของ The Courier Mail วันที่ 7 มิ.ย. 2020 เสนอข่าว ยืนยันว่ามีผู้ชุมนุมประท้วง ‘Black Lives Matter’ ในนครบริสเบนจำนวน 30,000 คน โดยเมินกฎทิ้งระยะห่างทางสังคม หากมีใครติดเชื้อไวรัส COVID-19 สักคนอยู่ในกลุ่มผู้ประท้วงคงดูไม่จืด
ยอดผู้ติดเชื้อในประเทศนิวซีแลนด์และในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ส่วนยอดผู้ติดเชื้อในนิวซีแลนด์ในวันนี้อยู่ที่ 1,504 คน มีผู้เสียชีวิต 22 คน และรักษาหายแล้ว 1,481 คน
ในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สะสมเรียงจากมากไปหาน้อยดังนี้ สิงคโปร์ 37,910 คน, อินโดนีเซีย 31,186 คน, ฟิลิปปินส์ 21,895 คน, มาเลเซีย 8,322 คน, ไทย 3,112 คน, เวียดนาม 329 คน, พม่า 240 คน, บรูไน 141 คน, กัมพูชา 125 คน, ติมอร์-เลสเต 24 คน,และลาว 19 คน (ลาวมีผู้ติดเชื้อเป็นศูนย์มา 55 วันติดต่อกัน)
ยอดผู้เสียชีวิตในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประกอบด้วยอินโดนีเซีย 1,851 คน, ฟิลิปปินส์ 1,003 คน, มาเลเซีย 117 คน, ประเทศไทย 58 คน, สิงคโปร์ 25 คน, พม่า 6 คน, บรูไน 2 คน, เวียดนาม 0 คน, กัมพูชา 0 คน, ลาว 0 คนและติมอร์-เลสเต 0 คน
นสพ. The West Australian วันที่ 6 มิ.ย. 2020 รัฐเวสเทิร์นออสเตรเลียไม่อนุญาตให้มีการชุมนุมประท้วงในวันเสาร์ที่ 6 มิ.ย.อย่างที่จัดกันในหลายรัฐ นสพ.ฉบับหลักจึงเสนอข่าวการปลดล็อก COVID-19 หลังจากประชาชนอึดอัดมา 11 สัปดาห์
jingjonews.com
jingjonews@hotmail.com (งดใช้ชั่วคราว)
Jingjonews เป็นสื่อออนไลน์มีวัตถุประสงค์เพื่อการเผยแพร่ข่าวสาร, บทความและประชาสัมพันธ์เพื่อชุมชน โดยปลอดจากการโฆษณาในเชิงพาณิชย์
Categories: ข่าวออสเตรเลีย
Leave a Reply