
ซอสพริกศรีราชา Huy Fong จากสหรัฐอเมริกาที่เป็นที่นิยมทั่วโลก จิงโจ้นิวส์ไม่เคยซื้อกิน เพราะชอบซอสพริกศรีราชาจากประเทศไทยมากกว่า ไม่ได้ชาตินิยมแต่มันอยู่ที่รสชาติที่ดีกว่า
26 ธ.ค. 2019 ซอสพริกยี่ห้อดังได้ถูกเรียกเก็บจากชั้นวางขาย หลังจากเกิดความหวั่นเกรงว่าซอสภายในขวดพลาสติกจะเกิดการขยายตัว และอาจจะกระเด็นใส่ผู้บริโภคเมื่อเปิดมันออกมา
ซอสพริกศรีราชาดังกล่าวมีชื่อยี่ห้อ Huy Fong Sriracha Hot Chilli Sauce ถูกเรียกคืนทั่วประเทศหลังจากพบกรดแลคติกซึ่งอยู่ภายในขวดยังคงหมักเชื้อแล้วทำให้บางขวดเกิดระเบิดขึ้นเอง
ซอสพริกศรีราชาใช้กระบวนการหมักแลตโต (lacto-fermentation process) โดยอาศัยแบคทีเรียช่วยเปลี่ยนน้ำตาลให้เป็นกรดแลคติก
กรดแลคติกทำหน้าที่ถนอมอาหารในขณะเดียวกันมันได้ช่วยเพิ่มรสชาติ ซึ่งซอสพริกศรีราชาของ Huy Fong มีส่วนผสมของพริกไทยแดง, น้ำส้มสายชู, กระเทียม, เกลือ และน้ำตาลหมักเข้าด้วยกัน
สินค้าที่ส่งมาขายในออสเตรเลียที่มีปัญหามีขนาด 17 และ 28 ออนซ์ มีวันหมดอายุก่อนเดือนมีนาคมปี 2021 ผู้ที่ซื้อไปขอแนะนำให้นำมาคืนร้านที่ซื้อโดยได้รับเงินคืนเต็มจำนวน
ซอสพริกศรีราชาของ Huy Fong มีวางขายที่ซูเปอร์มาร์เก็ต Coles, Woolworths, IGA, ซูเปอร์มาร์เก็ตอิสระและร้านของชำเอเชียทั่วไป
สินค้าดังกล่าวมีบริษัท Kien Fat Trading เป็นผู้จัดจำหน่าย ในต้นเดือนธันวาคมที่เพิ่งผ่านไปได้ทำการเรียกคือสินค้าในทวีปยุโรปและสหรัฐอันเนื่องมาจากปัญหาเดียวกันกับที่เกิดในออสเตรเลีย
สื่อหนังสือพิมพ์ The SMH ระบุว่า ซอสพริกศรีราชาถูกผลิดขึ้นครั้งแรกในปี 1980 โดยการคิดค้นของนาย David Tran ผู้อพยพเชื้อสายจีนจากประเทศเวียดนาม เขาไปตั้งโรงงานผลิตในรัฐแคลิฟอร์เนีย ส่งไปขายในหลายประเทศทั่วโลก
ซึ่งข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อมูลที่ผิดพลาด นสพ. The Daily Mail ให้ข้อมูลที่ถูกต้องกว่า โดยระบุว่าซอสพริกศรีราชามีต้นกำเนิดในประเทศไทย คือในราวทศวรรษที่ 1930s หรือประมาณ 50 ปีก่อนหน้านั้น
อ้อ…ท่านผู้อ่านจำคดีตำรวจพบยาไอซ์ 400 กก.ซุกซ่อนในซอสพริกศรีราชาได้ไหม ตำรวจพิชิตคดีได้ก็มาจากกรดแลคติกมีส่วนช่วยให้ของเหลวทะลักออกมาจากขวด จนเจ้าหน้าที่ ABF ผิดสังเกตเห็นความผิดปกติ จากข่าว “พบสารเคมีผลิตยาไอซ์ซุกซ่อนในซอสศรีราชาจากโรงงานในสหรัฐส่งมาซิดนีย์” ลงวันที่ 31 ตุลาคม 2019
jingjonews.com
jingjonews@hotmail.com (งดใช้ชั่วคราว)
Jingjonews เป็นสื่อออนไลน์มีวัตถุประสงค์เพื่อการเผยแพร่ข่าวสาร, บทความและประชาสัมพันธ์เพื่อชุมชน โดยปลอดจากการโฆษณาในเชิงพาณิชย์
Categories: ข่าวออสเตรเลีย
Leave a Reply