เด็กบ้านริมคลอง ตอน : Where Were You When the Bombs Blew Up?
บทความตามใจฉัน “Where Were You When the Bombs Blew Up?” เป็นบทความที่ 448 ของไม้ซีกขีด ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ไทย-ออสนิวส์ฉบับวันที่ 10 ถึง 23 มกราคม 2007 เป็นหนึ่งในไม่กี่ตอนที่มีความยาวเพียงหนึ่งหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์
เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงส่งท้ายปี 2006 (พ.ศ. 2549) และต้อนรับปี 2007 (พ.ศ. 2550) ที่บันทึกเกร็ดย่อยของสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองไทย ที่รวมถึงสภาพสนามบินสุวรรณภูมิ สภาพแวดล้อมของบ้านคลองบางกรวย และเหตุการณ์ลอบวางระเบิดครั้งใหญ่ถึง 10 จุดพร้อมกันเอาไว้ดังนี้ครับ

บทความตามใจฉันตอน “Where Were You When the Bombs Blew Up?” ที่ปรากฎในนสพ.ไทยออสนิวส์ ฉบับวันที่ 10 มกราคม 2007
สวัสดีปีใหม่ครับท่านผู้อ่านที่เคารพรัก…ในฉบับนี้ผมได้รับการติดต่อจากฝ่ายข่าวออสซี่ขอหน้ากระดาษหน้า ๓๖ เนื่องจากมีข่าวตกค้างจำนวนมาก ผมจึงสละหน้ากระดาษให้ด้วยความยินดี เพราะขณะที่เขียนอยู่นี้ ผมอยู่ที่ประเทศไทย กำลังประสบปัญหาติดขัดในเรื่องของเวลาและการค้นหาข้อมูลพอดี
ผมมาถึงเมืองไทยตั้งแต่วันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๐๐๖ (พ.ศ. ๒๕๔๙) เป็นการเดินทางอย่างไม่มีแบบแผน คือไม่ได้จองตั๋วเครื่องบินไว้ล่วงหน้าอย่างที่เคยทำ แต่เข้าบัญชีรายชื่อสำรองที่นั่งไว้กับสายการบินไทย ว่างเมื่อไรก็ได้ไปเมื่อนั้น มาได้ที่ว่างในวันที่ ๒๐ แต่ก็แพงถึง ๑,๕๕๐ เหรียญ เพราะเป็นชั้นประหยัดคลาส H ก็ให้ถือว่าเป็นการลงโทษฐานตัวเองที่ไม่วางแผนเดินทางล่วงหน้า
ผมกลับเมืองไทยมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิในเวลาเกือบ ๕ ทุ่ม สภาพสนามบินค่อนข้างสะอาดกว่าเมื่อครั้งที่ผมมาถึงในวันที่ ๓ ตุลาคม ห้องน้ำภายในสนามบินสะอาดขึ้นมาหน่อยหนึ่ง แต่ควรจะสะอาดกว่านี้ ห้องน้ำยังน้อยเหมือนเดิม ไม่เพียงพอกับผู้โดยสารที่ทนอั้นมาจากเครื่องบิน เมื่อลงเครื่องผู้โดยสารต้องมายืนต่อคิวภายนอกห้องน้ำขนาดเล็กมีชักโครกไม่กี่ห้อง และโถฉี่ ๒ หรือ ๓ โถเท่านั้น
ผมเป็นคนหนึ่งที่อั้นฉี่มาจากเครื่องบิน มาเจอคนเข้าคิวยาวเหยียดก็ถอดใจรีบจ้ำทางเลื่อนไปหาห้องน้ำเอาดาบหน้า แต่จะมีใครสังเกตไหมว่าห้องน้ำสนามบินสุวรรณภูมิถูกสร้างเอาไว้กึ่งกลางสะพานเลื่อน นั่นหมายความว่าถ้าใครออกจากทางเลื่อน ถ้าต้องการเข้าห้องน้ำ พวกเขาและเธอจะต้องเดินย้อนกลับมา ผมเป็นคนหนึ่งที่เดินหน้าแล้วไม่ยากจะย้อนหลัง เลยทนไปหาเอาข้างหน้า มาสบายตัวเอาเมื่อได้เข้าห้องน้ำบริเวณที่รอรับกระเป๋าผู้โดยสาร
กลับมาเที่ยวนี้ผมสังเกตเห็นมีโทรศัพท์สาธารณะติดตั้งแล้วในบางจุด ทำให้รู้สึกอุ่นใจหน่อยหนึ่ง เผื่อยามจำเป็นที่จะต้องติดต่อสื่อสารก็จะสามารถใช้ได้ ก็ถือว่าฝ่ายบริหารสนามบินได้แก้ไขข้อบกพร่องไปได้ระดับหนึ่ง แต่เท่าที่เป็นอยู่ขณะนี้ผมยังไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่า สุวรรณภูมิเป็นสนามบินระดับเวิร์ลคลาส.. และคงไม่เป็นเช่นนั้น วัดได้จากการจัดอันดับสนามบินนานาชาติไล่จากหัวลงล่างไม่มีชื่อสุวรรณภูมิเลย
ยังเหลืออีกไม่กี่วันที่ผมจะกลับออสเตรเลีย ผมหวังที่จะได้เห็นห้องรอผู้โดยสารขาออกมีการเปลี่ยนแปลงไปจากที่ปีเตอร์เพื่อนฝรั่งที่ผมเอ่ยถึงใน “เด็กบ้านริมคลองตอนเดือน ๑๑ น้ำนองตลิ่ง” ว่า “มีสภาพเหมือนเรือนจำลองเบย์” คือมีแต่กระจกและโลหะสีตุ่น ๆ เท่านั้น ขากลับคราวนี้ผมอยากเห็นเฟอร์นิเจอร์ เครื่องตกแต่ง หรือเครื่องฆ่าเวลายามเซ็งที่จะต้องรอเครื่องออกเป็นเวลานาน หรือเมื่อเจอเครื่องบินดีเลย์ไม่มากก็น้อย
@@@@
กลับบ้านคราวนี้ คลองบางกรวยเพิ่งผ่านภาวะน้ำท่วมไปได้ไม่กี่สัปดาห์ ทางเทศบาลตำบลเพิ่งจะมารื้อสะพานคนเดินชั่วคราวออกไป รถของผมซึ่งหลานชายขับไปจอดไว้ริมถนนหน้าวัดตั้งแต่น้ำท่วมใหม่ ๆ เมื่อรื้อสะพานออกไปแล้ว ก็สามารถนำเข้ามาจอดในโรงรถได้ตามเดิม
ผมชอบสภาพแวดล้อมรอบบ้านในเดือนธันวาคม อากาศเย็นทั้งวัน พื้นดินแห้งดูสะอาดเรียบร้อย เพราะวัชพืชและไม้เกะกะต้นเล็กต้นน้อยตายหมดจากผลของน้ำท่วม ทางเดินหลังบ้านและสวนผลไม้ที่ติดกันมีต้นไม้ขึ้นปกคลุมสวยงามมาก บางครั้งเห็นนกกินปลาสีฟ้าสด เกาะกิ่งไม้อย่างสงบนิ่ง รอล่าเหยื่อที่แหวกว่ายอยู่ในท้องร่องสวน นกกินปลาและนกสีสวยอื่น ๆ เป็นสิ่งที่พบเห็นเสมอสมัยผมยังเป็นเด็ก แต่เดี๋ยวนี้หายไปหมดแล้ว
เพราะสภาพบ้านล้อมด้วยสวนนี้เองทำให้บ้านริมคลองบางกรวยมีอากาศเย็นสบายกว่าบ้านพี่สาวของผมในกรุงเทพฯ ความรู้สึกนี้หลายคนในครอบครัวผมสามารถบอกถึงความแตกต่างได้
แต่เป็นที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง ที่สวนหลังบ้านซึ่งเป็นมรดกตกทอดสู่อาคนหนึ่งซึ่งอยู่ในบ้านหลังหนึ่งในรั้วเดียวกัน อาคนนี้ได้เอาที่ดินไปจำนองไว้เมื่อหลายปีก่อน แล้วปล่อยให้หลุดจำนอง กว่าญาติ ๆ จะรู้สวนขนัดใหญ่ก็เป็นของคนอื่นไปแล้ว
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อหลายสิบปีมาแล้ว ตอนนี้ลูกหลานรุ่นต่อมาของเจ้าของที่สวนคนใหม่ ต้องการพัฒนาที่สวนแห่งนี้ให้เป็นหมู่บ้านจัดสรร ทางเดินหลังบ้านอันกว้างใหญ่ในปัจจุบัน หากเขากั้นรั้วเต็มพื้นที่ก็จะเหลือทางเดินเข้าบ้านแค่เมตรเศษ ๆ ผมนึกถึงภาพทางเดินเข้าบ้านเป็นกำแพงชนกำแพงกว้าง ๑ เมตรแล้ว ให้รู้สึกสยองผองขน เวลาเกิดมีใครเจ็บป่วยการลำเลียงโยกย้ายไปโรงหมอคงทุลักทุเลน่าดู
@@@@

ต้นลำพูที่บางลำพู ก่อนถูกโค้นทิ้ง จะเห็นกลุ่มรากขึ้นชี้ฟ้า (ภาพถ่ายโดยคุณสมปอง ดวงไสว จาก manager.co.th)
ในตอน “เดือน ๑๑ น้ำนองตลิ่ง” ผมได้เล่าถึงเรื่องต้นลำพูและงูตัวน้อยเอาไว้ กลับมาบ้านริมคลองคราวนี้ผมพยายามเสาะหาเจ้างูตัวนั้น ป่านนี้มันคงเป็นงูหนุ่มงูสาวแล้ว แต่ไม่เจอมันเลยแม้แต่เงา
และก็มีข่าวที่น่าเสียใจเป็นอย่างยิ่งว่า ต้นลำพูท้องถิ่นซึ่งมีไม่กี่ต้นในคลองบางกรวย เจ้าต้นที่หน้าบ้านผมได้ตายเสียแล้ว มันโตเร็วมาก แล้วจู ๆ มันก็ตายลงเพียงไม่กี่วันก่อนที่ผมจะกลับมาบ้านคลองบางกรวย การตายของต้นลำพูที่หน้าบ้านผม ได้กลายเป็นหัวข้อถกของเพื่อนบ้านซึ่งเป็นทั้งเครือญาติและญาติห่าง ๆ ที่ให้ความสนใจ โดยเชื่อว่าไม่ได้มาจากสาเหตุน้ำท่วม เพราะต้นลำพูชอบขึ้นชายน้ำ แต่ผู้รู้ให้เหตุผลเข้าท่าก็คือ น่าจะมาจากผลสายไฟฟ้าแรงสูง เพราะเจ้าลำพูน้อยเติบโตไว ยอดของมันคงขึ้นไปแตะสายไฟ มันคงโดนคลื่นแม่เหล็กจากกระแสไฟแรงสูงทำให้มันตาย ชาวสวนผู้มีดรีกรีวิศวกรรมศาสตร์ไฟฟ้าให้ความเห็น
พี่ชายคนโตของผม (ชาวสวนจบวิศวไฟฟ้าเหมือนกัน) บ่นเสียดายเพราะเขากำลังจะหาวิธีขยายพันธุ์เอาไปปลูกที่บ้านเขา ผมได้แต่ภาวนาให้มันขึ้นมาอีก เพราะยังมีรากของมันขึ้นชี้ฟ้าปรากฎให้เห็น ไม่ได้แห้งตายไปด้วย
@@@@
Where Were You When the Bombs Blew Up?

โปสเตอร์โฆษณาภาพยนตร์ “เธออยู่ไหนเมื่อไฟดับ?”
ผมตั้งชื่อนี้โดยอาศัยความสอดคล้องจากภาพยนตร์ดังในอดีตเรื่อง “Where Were You When the Light Went Out?” มีชื่อในภาษาไทยว่า “เธออยู่ไหนเมื่อไฟดับ?” เป็นภาพยนตร์ในปี ๑๙๖๘ (พ.ศ. ๒๕๑๑) ที่เอาเหตุการณ์ไฟดับทั่วมหานครนิวยอร์กเมื่อหลายปีก่อนมาผูกเป็นเรื่องเป็นราว ผมเชื่อว่าเมื่อคราวเกิดเหตุการณ์ระเบิดที่กรุงเทพฯเมื่อไม่กี่วันมานี้ ต้องมีคนไทยจำนวนไม่น้อยเป็นห่วงและติดต่อสอบถามญาติพี่น้องที่ออกนอกบ้านว่าพวกเขา อยู่ที่ไหน? ปลอดภัยหรือไม่?
เหตุการณ์ลอบวางระเบิดทั่วกรุงเทพฯในวันส่งท้ายปีเก่าที่ ๓๑ ธันวาคม ผมอยู่ในกรุงเทพฯแต่ไม่ได้อยู่ใกล้จุดระเบิดแต่อย่างใด
วันนั้นผมกับพี่สาวพร้อมหลานชายคนเล็กและหลานสาวไปหาซื้อของขวัญปีใหม่อยู่ที่ห้างเอ็มโพเรียม พวกเราเป็นลูกค้าประจำห้างนี้กับห้างเซ็นทรัลสาขาชิดลมมาหลายปีแล้ว เพราะหลงในกลยุทธบัตรเครดิตซื้อของไม่จำกัดวงเงิน ไม่มีค่าธรรมเนียม และไม่มีดอกเบี้ย
การซื้อของเป็นการชดเชยการซื้อเมื่อสองวันก่อนหน้านี้ ที่ต้องยุติอย่างกระทันหันเมื่อได้รับแจ้งข่าวว่า “เจ้าลูกตาว” สุนัขที่บ้านพี่สาวกำลังจะหมดลมด้วยโรคชรา พี่สาวกับพี่เขยจึงรีบกลับบ้านทันที หลานสาวยังอุตส่าห์โดดเรียนกลับบ้าน ส่วนแม่ผมได้แต่ร้องไห้สะอึกสะอื้นสงสารมัน
เจ้าลูกตาวเป็นหมาข้างถนนที่เราเก็บมาเลี้ยงตั้งแต่เล็ก มันเป็นหมาที่กตัญญูรู้คุณเจ้านายที่ให้อาหารมันกิน ผมไม่รู้ว่าพวกที่วางระเบิดเขาทำไปด้วยความกตัญญูรู้คุณเจ้านาย หรือฝ่ายตรงข้ามต้องการสร้างสถานการณ์ให้พวกเขาดูชั่วร้ายยิ่งขึ้นในสายตาประชาชน หรือทำไปเพราะอำนาจสินจ้างเงินก้อนโต้ แต่ที่แน่ ๆ คนเหล่านี้เลวยิ่งกว่าเดรัจฉาน พวกเขาและตระกูลของเขาไม่สามารถเทียบชนชั้น ศักดิ์ศรี และคุณงามความดีไปกว่าเจ้าลูกตาวของพี่สาวผมแม้กระเบียดนิ้ว
วันนั้นพวกเราอยู่ที่ห้างเอ็มโพเรียมตั้งแต่เที่ยงวันยันเย็น เป็นอันเสร็จสิ้นการจับจ่ายซื้อของ หลานสาวแยกไปงานส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่บ้านเพื่อน ส่วนผม, พี่สาว, น้องสะใภ้และหลานชายคนเล็กไปกินอาหารค่ำที่ร้านเฮงหูฉลามย่านคลองตัน ร้านประจำที่เจ้าของสนิทกัน เราทราบเหตุการณ์ระเบิดที่ร้านนี้ ข่าวได้แพร่กระจายไปทั่วกรุงเทพฯอย่างรวดเร็ว
พวกเราได้ใช้ร้านอาหารเป็นศูนย์รับข่าวญาติพี่น้องที่ออกนอกบ้านในวันนั้น มีเพียง ๓ คนเท่านั้น หลานสาวผมขับรถกำลังจะถึงบ้านเพื่อนที่ลาดพร้าว เธอตกลงจะค้างบ้านเพื่อน จึงหมดห่วงไปเพราะบ้านเพื่อนคนนี้เป็นที่รู้จักกันดีและไว้วางใจได้
เราโทรเช็คหลานชายคนรองอยู่ที่บ้านแฟนสาวที่รังสิต เขาจะอยู่ที่นั่นจนกว่าสถานการณ์ปลอดภัย อีกคนหนึ่งคือน้องชายผมอยู่ที่คลองเตย ซึ่งเป็นจุดหนึ่งที่เกิดระเบิด เขาปลอดภัยดี และกำลังมุ่งหน้ากลับบ้านเป็นอันหมดห่วง
@@@@

เหตุการณ์วางระเบิดกรุงเทพฯในวันที่ 31 ธันวาคม 2006 (ภาพจากนสพ. the Guardian)
การวางระเบิดครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากมีแหล่งข่าวอ้างว่ามีขบวนการบ่อนทำลายความเชื่อถือของรัฐบาลอยู่เบื้องหลัง ซึ่งได้เริ่มขึ้นราวกับนิยายมินิซีรีส์เรื่องยาวและมีแนวโน้มว่าจะไม่จบสิ้น เริ่มจากการลักลอบเผาโรงเรียนทั่วประเทศ ที่ไม่ใช่เฉพาะภาคใต้ แม้ตำรววจไทยจะออกมาบอกว่าเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร แต่โดยสามัญสำนึกของคนไทยแล้วเชื่อได้ยากมาก ที่อยู่ดี ๆ เกิดไฟลัดวงจรในช่วงเวลาใกล้เคียงกันทั่วประเทศ ทำไมก่อนหน้านี้มันถึงไม่เกิดขึ้น แล้วทำไมเกิดเฉพาะแต่โรงเรียน
จากนั้นจึงเกิดเหตุการณ์ดิสเครดิตรัฐบาลด้วยการเล่นงานพล.อ.สรยุทธ์ จุลานนท์นายกรัฐมนตรีจากกรณีเขายายเที่ยงและพล.อ.สนธิ บุญยรัตนกลินประธานคมช.ในเรื่องการจดทะเบียนสมรสซ้อน ซึ่งฝ่ายโจมตีมีข้ออ้างที่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ แต่ฝ่ายผู้ถูกกล่าวหาก็สามารถแก้ตัวไปได้อย่างทุลักทุเล ชนิดสีข้างถลอกปอกเปิก ฝ่ายไม่หวังดีกับประเทศชาติจึงไม่สามารถปลุกกระแสต่อต้านรัฐบาลจากประชาชนเท่าทีควร
จากนั้นในช่วงวันส่งท้ายปีเก่าที่ ๓๑ ธันวาคมจึงเกิดแผนการลอบวางระเบิดทั่วกรุงเทพฯ ๑๐ จุดในเวลาใกล้เคียงกัน ระเบิดที่นำไปวางเป็นชนิดเดียวกันทั้งหมด พวกเขามุ่งหวังเพื่อสร้างความเสียหาย…(ขออนุญาตตัดออกหนึ่งประโยค) ..แต่เป้าหมายที่แท้จริงน่าจะเป็นการสร้างความปั่นป่วนให้กับรัฐบาล
(ย่อหน้านี้ขออนุญาตตัดทอนและเปลี่ยนแปลง) เมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นผู้ที่ถูกสังคมมองว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังได้เขียนหนังสือด้วยลายมือส่งจากกรุงปักกิ่งถึงทนายความส่วนตัวออกแถลงข่าวทันทีว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
(ย่อหน้านี้ขออนุญาตตัดทอนและเปลี่ยนแปลง) ผู้ที่เพิ่มความปั่นป่วนคืออดีตนายกรัฐมนตรีท่านหนึ่งผู้ที่จุดประเด็นกรณีเขายายเที่ยง ออกมาสนับสนุนผู้ที่ถูกสังคมมองว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง แต่ความหวังดีของเขา ทำให้สังคมมองกลุ่มนี้ไปในทางลบยิ่งขึ้น
ในขณะที่ยังไม่สามารถจับมือใครดมได้ว่า กลุ่มใดเป็นผู้วางระเบิด แม้กระทั่งฝ่ายทหารและตำรวจยังมีความเห็นต่างกัน ฝ่ายทหารมองว่าน่าจะเป็นฝีมือของกลุ่มผู้สูญเสียอำนาจเก่า ในขณะที่ผู้ว่าการตำรวจแห่งชาติพุ่งประเด็นไปที่กองโจรแบ่งแยกดินแดนภาคใต้
จะอย่างไรก็ตาม… นักวิชาการจากต่างประเทศและในประเทศมีความเห็นเหมือนกันว่า เหตุการณ์ลอบวางระเบิดที่กรุงเทพฯ ได้ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อประเทศไทยมากว่าเหตุการณ์สึนามิเมื่อปลายปี ๒๐๐๔ (พ.ศ. ๒๕๔๗) หลายเท่าตัวทีเดียว… หน้ากระดาษคงหมดเพียงเท่านี้ พบกันใหม่ฉบับหน้าครับ
Categories: บทความ ตามใจฉัน
Leave a Reply