
ข่าวออนไลน์ 9 News วันที่ 13 ก.ย. 2020 เสนอข่าวหญิงสาวถูกตำรวจใช้กำลังฉุดลากออกมาจากรถยนต์ในนครเมลเบิร์นเพื่อทำการจับกุม
13 ก.ย. 2020 ข่าวนี้กลายเป็นไวรัลที่ก่อให้เกิดความเห็นต่างขั้ว บางคนเข้าข้างเธอ บางคนเข้าข้างผู้รักษากฎหมาย ในช่วงที่ประชาชนอึดอัดต่อการถูกริดรอนเสรีภาพอันเนื่องมาจากมาตรการคุ้มเข้ม COVID-19
สตรีผู้เป็นศูนย์กลางของเหตุการณ์ถูกตำรวจจับกุมขณะเธออยู่ในรถยนต์ได้กลายเป็นไวรัลตามสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งสตรีรายนี้อ้างว่าเธอไม่ได้รู้สึกว่าเธอได้กระทำผิดใด ๆ ในขณะที่ตำรวจทำกับเธอรุนแรงเกินไป
เมื่อวันเสาร์ที่ 12 กันยายนน.ส. Natalie Bonnett (สื่อบางสำนักระบุนามสกุลของเธอว่า Bonner) วัย 29 ปีได้โพสต์คลิปวิดีโอหลังเธอถูกตำรวจเรียกให้จอดรถ ณ จุดตรวจในตำบล Kalkallo เขต City of Hume ทางเหนือของนครเมลเบิร์น
ตำรวจได้แจ้งแก่เธอว่า ที่ติดตั้งที่วางโทรศัพท์มือถือในรถอยู่ในตำแหน่งไม่ถูกต้องขอให้เอาออกเสีย
น.ส. Bonnett จากตำบล Wallan Wallan ของเขต Shire of Mitchell กล่าวว่าตำรวจชายนายหนึ่งได้เปิดประตูรถของเธอ โดยอ้างว่าขอดูใบขับขี่ แต่เธอปฏิเสธ จากนั้นเธอได้ถูกนายตำรวจดึงเธอออกมาจากรถ โดยใช้ความรุนแรงจนเสื้อคลุมของเธอและรองเท้าของเธอหลุดออก
เธอย้ำว่าตอนนั้นเธอรู้ตัวดีว่าเธอไม่ได้ทำความผิดใด ๆ แน่นอน
จากนั้นเธอถูกตำรวจชายสี่คนช่วยกันจับแขนและขาของเธอออกมาวางกับพื้นข้างรถ ในขณะที่พวกเขาพยายามจะใส่กุญแจมือเธอ ตำรวจนายหนึ่งได้เอาเข่าของเขากดหลังเธอไว้ ซึ่งการกระทำเช่นนั้นทำให้เธอหายใจไม่ออก และตอนนั้นเธอคิดว่าเธอกำลังจะตายด้วยน้ำมือของตำรวจ
สื่อมวลชนค่ายหนึ่งอ้างว่าขณะเกิดเหตุมีชายคนหนึ่งนั่งอยู่เบาะหลังรถของเธอ ได้ยินเสียงเขาพูดออกมาว่า “เฮ! เธอไม่สบายนะ”
คลิปวิดีโอของเธอมีผู้เข้าชมเป็นจำนวนมากและมีการแชร์ต่อกันไปอย่างรวดเร็ว หลายคนให้ความเห็นประณามการกระทำของตำรวจ

ข่าวออนไลน์ Yahoo News วันที่ 13 ก.ย. 2020 น.ส. Natalie Bonnett เผยเหตุการณ์เธอถูกตำรวจจับกุมที่จุดตรวจด้วยความรุนแรงจนเธอคิดว่าเธอกำลังจะตายจากน้ำมือของตำรวจ
ทางด้านตำรวจได้ออกแถลงการณ์ในตอนเช้าวันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน อธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนที่จะเกิดภาพที่ปรากฎในสื่อสังคมออนไลน์
โฆษกของตำรวจกล่าวว่า สตรีรายดังกล่าวได้ปฏิเสธไม่ให้ข้อมูลส่วนบุคคลและไม่ให้ดูใบขับขี่โดยเหตุเกิด ณ จุดตรวจผ่านทางระหว่างเข้าเขตเมืองกับออกสู่เขตชนบท อันเป็นจุดสำคัญในการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019
ตำรวจกล่าวว่าสตรีผู้ฝ่าฝืนได้ติดตั้งอุปกรณ์วางโทรศัพท์มือถือไว้ที่กระจกหน้ารถยนต์ ซึ่งบดบังการมองเห็นของคนขับและผิดกฎหมายการจราจร
เมื่อตำรวจขอให้เธอเอาโทรศัพม์และที่วางโทรศัพท์ออกไปจากกระจกหน้ารถ น.ส. Bonnett ได้ปฏิเสธ
เมื่อตำรวจขอให้เธอบอกชื่อและนามสกุล เธอได้ปฏิเสธ (ผิดตามมาตรา 59 ของพ.ร.บ.ความปลอดภัยในการใช้ถนน) และขอดูใบอนุญาตขับรถยนต์เธอได้ปฏิเสธ (ผิดตามมาตรา 59 ของพ.ร.บ.ความปลอดภัยในการใช้ถนนเช่นกัน) เธอยังคงปฏิเสธเมื่อตำรวจขอให้เธอลงจากรถ ทำให้ตำรวจจำต้องใช้แรงฉุดให้เธอออกมาจากรถ และทำการจับกุม ซึ่งเป็นช่วงที่ผู้ฝ่าฝืนทำการบันทึกภาพจากโทรศัพท์ที่ติดไว้กับกระจกหน้ารถ
เจ้าหน้าที่ได้เตือนว่า ถ้าเธอไม่ให้ความร่วมมือตำรวจมีอำนาจตามกฎหมายที่จะจับกุมเธอได้
คลิปวิดีโอสามารถได้ยินเสียงนายตำรวจคนหนึ่งกล่าวว่า “คุณออกมาจากรถได้ไหม?””
น.ส. Bonnett ตอบว่า “ไม่ ฉันรู้สึกไม่ปลอดภัย” “คุณพยายามเข้ามาในรถฉัน” “คุณกำลังทำอะไรนี่!” ในขณะที่ตำรวจเปิดประตูและก้มตัวเข้าไปปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วดึงเธอออกมาจากรถ

ข่าวออนไลน์ 7 News วันที่ 13 ก.ย. 2020 เสนอข่าว น.ส. Natalie Bonnett ออกมาเผยเหตุตำรวจทำการจับกุมด้วยการลากเธอลงจากรถ หลังจากคลิปการจับกุมถูกเผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์ได้มีคนแห่เข้าดูมากมายเป็นไฟลามทุ่
ในวันนี้เช่นกัน (13 ก.ย. 2020) นาย Daniel Andrews นายกรัฐมนตรีรัฐวิกตอเรียได้ถูกผู้สื่อข่าวถามถึงเหตุการณ์ดังกล่าวในขณะแถลงข่าวประจำวัน เขาได้ตอบกลับไปว่าเขาไม่ขอให้ความเห็นในเรื่องของบุคคล
เขาสามารถให้ความเห็นได้เพียงว่าไม่มีใครได้อภิสิทธิ์พิเศษ เมื่อตำรวจขอให้หยุดรถเพื่อการตรวจ รวมถึงขอรายละเอียดชื่อตัวชื่อสกุลและขอดูใบขับชี่ เหตุการณ์เช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นถ้าทุกคนให้ความร่วมมือตามกฎหมาย
น.ส. Bonnett ได้รับการปล่อยตัวออกจากการจับกุม ในขณะที่โฆษกตำรวจกล่าวว่า เป็นที่คาดว่าเธอจะได้รับหมายแจ้งข้อหาขับรถโดยมีสิ่งกรีดขวางการมองเห็น, ไม่สำแดงใบอนุญาตขับรถเมื่อเจ้าหน้าที่ร้องขอ, ไม่ให้รายละเอียดชื่อและนามสกุลแก่เจ้าหน้าที่เมื่อร้องขอ, ฝ่าฝืนการจับกุมและใช้วาจาหยาบคายต่อเจ้าหน้าที่ในขณะปฏิบัติหน้าที่
jingjonews.com
jingjonews@hotmail.com (งดใช้ชั่วคราว)
jingjonews เป็นสื่อออนไลน์มีวัตถุประสงค์เพื่อการเผยแพร่ข่าวสาร, บทความและประชาสัมพันธ์เพื่อชุมชน โดยปลอดจากการโฆษณาในเชิงพาณิชย์
Categories: ข่าวออสเตรเลีย
Leave a Reply