
ข่าวออนไลน์นสพ. The Daily Mail วันที่ 14 ก.ค. 2019 เสนอข่าวสองแบ็คแพ็คเกอร์เล่นเสี่ยวถึงตาย เอาหมึกสายวงน้ำเงินมาเกาะแขนเพื่อน
14 ก.ค. 2019 สองนักท่องเที่ยวแบ็คแพ็คเกอร์เล่นแผลง ๆ ที่อาจทำให้ถึงตายได้ ด้วยการเอาหมึกสายวงน้ำเงิน (blue-ringed octopus ) มาวางบนแขนเปล่า ๆ โดยปราศจากการป้องกันใด ๆ
นาย Ross Saunders นักท่องเที่ยวจากสหราชอาณาจักรได้โพสต์ลงเฟสบุ๊คคุยเขื่องถึงความชื่นชอบในการท่องเที่ยวออสเตรเลียหลังจากใช้เวลาทั้งวันกับการเล่นน้ำทะเลและตกปลา
เขายังอัพโหลดคลิปวีดีโอตัวเขาและเพื่อนแบ็คแพ็คเกอร์ชาวไอริชกำลังเล่นเสี่ยงตายกับการเอาหมึกสายวงน้ำเงินที่มีพิษเพียงพอที่จะฆ่าคนแข็งแรงได้ 26 คนภายในไม่กี่นาทีมาวางบนแขน
เขาเขียนว่า มีเรื่องน่าสนใจที่เขาขอแนะนำในการท่องเที่ยวตกปลาในออสเตรเลีย กับการได้ชมพระอาทิตย์ตก, ดูปลาโลมา และจับหมึกสายวงน้ำเงินที่เขารู้ว่ามันเป็นสัตว์ที่มีพิษร้ายแรงที่สุดพันธุ์หนึ่งของโลก แต่พวกเขาไม่ได้รู้สึกถึงความร้ายกาจของมันเลย
นาย Saunders ยังกล่าวติตลกอีกว่า การตกปลาในออสเตรเลียมีความแตกต่างจากการตกปลาในสหราชอาณาจักร
ในขณะที่สองนักท่องเที่ยวแบ็คแพ็คเกอร์สนุกกับการเสี่ยงชีวิตกับหมึกสายวงน้ำเงิน แต่คนที่เข้าดูคลิปวิดีโอหลายคนไม่พบว่ามันสนุกตรงไหน
ผู้เข้าชมคนหนึ่งให้ความเห็นว่า “ว้าว..ชายคนนี้สามารถตายได้อย่างง่ายดาย”
ผู้ใช้ (user) หลายคนเรียกแบ็คแพ็คเกอร์ทั้งสองว่า “คนโง่” กับสิ่งที่ทำลงไป และพวกเขาโชคดีมากที่ยังมีลมหายใจจนถึงทุกวันนี้
อีกคนหนึ่งให้ความเห็นว่า “พิษของมันเหลือเฟือพอที่จะฆ่าผู้ใหญ่ได้ 26 คนภายในไม่กี่นาที, ตอนมันกัดจะไม่รู้สึกเจ็บปวด จนกระทั่งเกิดอาการหายใจไม่ออกอย่างฉับพลันและเสียชีวิตลง”
อีกคนกล่าวว่า “ไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาวางมันบนแขน ถ้าคุณถูกกัด คุณจะเป็นอัมพาตและหายใจไม่ออกภายในไม่กี่นาที”
จากข้อมูลของสถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเลแห่งออสเตรเลีย (AIMS) กล่าวว่าหมึกสายวงน้ำเงินมีแบคทีเรียมีชีวิตอาศัยอยู่ที่ต่อมน้ำลายขนาดเล็กซึ่งผลิตสารเคมีเตโตรโดท็อกซิน (tetrodotoxin) เป็นสารพิษรุนแรง ผู้ถูกสารชนิดนี้จะมีอาการอัมพาตอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการสารพิษเข้าไปบล็อกระบบประสาท
jingjonews.com
jingjonews@hotmail.com (งดใช้ชั่วคราว)
Jingjonews เป็นสื่อออนไลน์มีวัตถุประสงค์เพื่อการเผยแพร่ข่าวสาร, บทความและประชาสัมพันธ์เพื่อชุมชน โดยปลอดจากการโฆษณาในเชิงพาณิชย์
Categories: ข่าวออสเตรเลีย
Leave a Reply