โลมิโอและจุรี เรื่องจริงที่ยิ่งกว่านิยาย

จิงโจ้นิวส์ตัดสินใจนำบทความนี้มาลงก็เพื่อขอให้ผู้อ่านได้ช่วยเผยแพร่ก่อนที่เฟสบุ๊คและกูลเกิลจะบล็อคจนไม่มีผู้อ่านหลงเหลื่อ เพื่อช่วยปลดปล่อยชายสูงวัยคนหนึ่งผู้ตามหาลูกมานานเกือบ 30 ปี ตอนนี้เขามีอายุมากแล้ว และเคยผ่าตัดหัวใจ เมื่อเดือนที่ผ่านมาเขาติดต่อเข้ามาแต่อยู่ดี ๆ ก็สายขาดไป ติดต่อกลับก็ไม่มีผู้รับ ชายผู้นี้ต้องการเพียงคำทักทายจากบุตรชายคนเดียวของเขา ผมจึงขออนุญาตนำบทความนี้นำเสนออีกครั้ง เผื่อบุตรชายของเขาที่อยู่ในประเทศไทย จะตัดสินใจทำอะไรสักอย่างให้กับผู้ให้กำเนิด ก่อนที่จะสายเกินไป   ขอให้ท่านผู้อ่านช่วยกดแชร์ต่อกันด้วยครับ

บทความนี้เป็นตอนที่ 525 ของไม้ซีกขีดเขียนเอาไว้ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2010 เป็นเรื่องของชายคนหนึ่งซึ่งตามหาบุตรชายที่เกิดกับภรรยาคนไทย เธอหอบลูกหนีกลับประเทศไทย และกลับเข้ารับราชการในกระทรวงเดิมทางภาคเหนือตอนบนของไทย ส่วนเขายังตามหาบุตรชายที่เชื่อว่ายังอยู่ที่ใดที่หนึ่งในออสเตรเลีย ตลอดเวลา 29 ปีที่ผ่านมาเขาทนทุกข์ทรมานมาก ผมหวังว่าอดีตภรรยาหรือบุตรชายของเขาจะได้อ่านบทความนี้ แล้วติดต่อกับผู้เป็นบิดา เพื่อให้เขาได้มีความสุขในบั้นปลายสักครั้งหนึ่งในชีวิต

 

โลมิโอและจุรี เรื่องจริงที่ยิ่งกว่านิยาย

บทความตามใจฉันเรื่อง “โลมิโอและจุรี เรื่องจริงที่ยิ่งกว่านิยาย” ถูกตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ไทย-ออสนิวส์ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2010

สวัสดีครับท่านผู้อ่านที่เคารพรัก…ในฉบับนี้ผมขออนุญาตนำเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตเมื่อ ๒๐ ปีที่แล้วขึ้นมารื้อฟื้นอีกครั้ง ด้วยหวังจะเป็นสื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ได้อ่าน ได้คิดและจะทำประการใดก็แล้วแต่ท่าน

สำหรับผมแล้วถือเป็นการไถ่บาปให้ตนเอง  กับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งได้ชื่อว่า “พ่อ” ของเด็กคนหนึ่ง เขาต้องทนทุกข์ทรมานจากการพลัดพลากจากลูกมาตลอดเวลาหลายปี  ผมเข้าไปมีส่วนร่วมในฐานะเป็นผู้ปิดบังข้อมูล ไม่สมกับที่ชายคนนี้ให้ความไว้วางใจ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาผมเป็นฝ่ายเอาใจช่วยผู้หญิงคนหนึ่งที่ได้ชื่อว่า “แม่”

บัดนี้ “เด็กชายคนนั้น” กำลังจะกลายเป็น “ชายหนุ่ม” วัย ๒๒ ปีบริบูรณ์ในวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๑๙๙๑ เป็นหนุ่มใหญ่พอที่จะตัดสินใจได้ว่า เขาควรจะทำอย่างไรกับชายผู้บังเกิดเกล้าคนนี้

ฉบับนี้ผมจึงขออนุญาตฝากผ่านผู้เข้ามาอยู่ในบ่วงกรรมนี้ (ซึ่งมีอยู่จำนวนไม่น้อย) ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในอดีต ได้ใช้ดุลยพินิจเอาเองว่า จะทำอย่างไรกันต่อไปครับ

@@@@

ท่านผู้อ่านส่วนใหญ่ที่ไม่รู้อิโหน่อิเน่… อ่านสี่ย่อหน้าข้างบน คงตั้งคำถามว่า..  “มันเขียนอะไรของมันวะ?”  ผมจึงขออนุญาตย้อนหลังเรื่องราวแต่ครั้งก่อนของ “โลมิโอ และจุรี” กันพอสังเขป เท่าที่ความทรงจำอันเลือนลางยังจดจำได้ดังนี้ครับ

“โลมีโอ” เมื่อ ๒๐ ปีเศษคือชายหนุ่มชาวอิตาลีคนหนึ่ง  ชื่อและนามสกุลจริงคงต้องขอสงวนเอาไว้ เพราะอาจถูกฟ้องร้องได้   ส่วนเหตุที่ใช้ “ล” แทนที่จะเป็น “โรมิโอ” ก็เพราะเขาไม่ได้มีบุคลิกเหมือน “โรมิโอ” ตัวเอกในละคร “Romeo and Juliet” ของท่านวิลเลียม เชคสเปียร์ยอดกวีและนักเขียนบทละครชาวอังกฤษที่โลกยกย่อง อีกทั้ง “โรมิโอ” เป็นชาวอิตาลี จึงเป็นสาเหตุที่ผมใช้ชื่อ “โลมิโอ” แทนตัวเขาครับ

ส่วนที่ตั้งให้ฝ่ายหญิงว่า “จุรี” ก็เพราะเธอเป็นสตรีไทย ใช้ชื่อนี้จึงเหมาะกว่า “จูเลียต” ครับ

โลมิโอพบกับจุรีครั้งแรกที่เชียงใหม่ไนท์พลาซ่า น่าจะเป็นช่วงก่อนปี ๑๙๘๗ เล็กน้อย ในขณะที่เธอกับเพื่อนตั้งแผงขายของหารายได้พิเศษ ส่วนโลมิโอก็เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติชมตลาดยามราตรี

จากคำบอกเล่าของโลมิโอกล่าวว่า จุรีมาจากครอบครัวมีอันจะกินในจัดหวัดหนึ่งทางภาคเหนือ จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ เธอมีงานมั่นคงเป็นข้าราชการประจำของกระทรวงหนึ่งทางภาคเหนือ เธอมีคนที่ชอบพอกันเป็นนายแพทย์นายหนึ่ง และน่าจะได้แต่งงานกัน ถ้ากามเทพไม่เล่นตลก

แต่จะด้วยเหตุใดก็ตามจุรีและโลมิโอเกิดรักชอบกัน   และจะด้วยเหตุใดก็ตามทั้งคู่เดินทางมาออสเตรเลีย ให้กำเนิดทารกเพศชายที่น่ารัก   และด้วยเหตุที่ทั้งสองอยู่เกินกว่าวีซ่าที่กำหนด ทำให้กลายเป็นผู้อยู่อาศัยไม่ถูกต้อง

และจะด้วยเหตุใดไม่ทราบได้ชีวิตคู่ของทั้งสองไม่ราบรื่น ถ้าจะให้เดาจากที่ได้อ่านไดอารีของเธอโดยไม่ตั้งใจ จุรีบันทึกไว้ห้วน ๆ ถึงชีวิตอีกด้านหนึ่งของโลมิโอ ทำให้ผมประเมินว่าเธอรับไม่ได้กับพฤติกรรมบางอย่างของเขา

ถ้าจะให้เดาจากโหงเฮงและกิริยาของโลมิโอ พอประเมินอย่างหยาบ ๆ ได้ว่า โลมิโอหนุ่มคนนี้น่าจะเป็นคนจู้จี้จุกจิก หวาดระแวงและขี้หึงเอามาก

โลมีโอมีพฤติกรรมส่อให้เห็นว่า เขาชอบทำตัวเป็นตำรวจนักสืบ “นิก คอสตา”   คอยสืบสวนและสอบปากคำภรรยาว่าเธอได้ทำอะไรในแต่ละวันที่ไม่ได้อยู่ในสายตาเขา ภรรยาคนใดที่มีสามีเช่นนี้ ก็คงอึดอัดเหลือทนไม่น้อย

@@@@

เมื่อคนเราไม่ไว้วางใจกัน ความรักความชอบจึงมีโอกาสเปลี่ยนเป็นความเกลียดและชิงชัง เมื่อไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้อีกต่อไปก็ต้องแยกกัน แต่ทั้งคู่มีบุตรชายที่ต่างฝ่ายไม่สามารถสละให้ใครครอบครองได้  ปัญหานี้ถ้าทั้งสองถือสัญชาติออสเตรเลียก็คงมีทางออก คงสามารถตกลงกันได้ภายใต้ระบบกฎหมายครอบครัวของประเทศ

ถึงจุดนี้ฝ่ายหญิงต้องการแต่ลูกน้อย ส่วนฝ่ายชายยังต้องการทั้งภรรยาและลูกน้อย จุรีเริ่มพาลูกน้อยหนีไปค้างตามบ้านเพื่อนหรือบ้านคนรู้จัก ในขณะที่โลมิโอติดตามไปง้องอนกลับคืนมา

จุรีพยายามพาลูกหลบหนีไปจากโลมิโอทุกครั้งที่มีโอกาส รวมถึงความพยายามนำลูกน้อยหนีกลับเมืองไทย โลมิโอได้หาทางป้องกันการสูญเสียลูกน้อย ด้วยการแต่งตั้งทนาย และประสบความสำเร็จเมื่อศาลสั่งห้ามนำหนูน้อยออกนอกประเทศ   โดยปราศจากความยินยอมทั้งจากฝ่ายบิดามารดาในเดือนมีนาคม ๑๙๘๙

แต่จุรีก็ยังคงหาทางโอกาสหลบหนีโลมิโอต่อไป และมาประสมความสำเร็จในเดือนเดือนมกราคม ๑๙๙๐ อาศัยจังหวะที่โลมิโอเผลอ เธอหอบลูกน้อยหนีจากบ้านทางตะวันตกเฉียงเหนือของซิดนีย์ และถือเป็นวันสุดท้ายที่โลมิโอได้เห็นลูกน้อยของเขา

โลมิโอได้ออกตามหาจุรีและบุตรชายวัย ๒ ขวบอย่างพลิกแผ่นดิน เขาเอากำลังตำรวจเข้าไปตรวจค้นตามบ้านเพื่อนสนิทของจุรีทุกหนทุกแห่ง   เขายอมอดหลับอดนอนเฝ้าแอบมองตามบ้านคนไทยที่เขาเชื่อว่าเป็นเพื่อนและอาจให้ความช่วยเหลือจุรี

ด้านจุรีเธอต้องหอบลูกน้อยหลบหนีอย่างหัวซุกหัวซุนในต่างแดน แม้แต่มือกฎหมายก็อยู่ฝ่ายตรงข้ามเธอ ชีวิตในช่วงนี้สมบุกสมบันยิ่งกว่าในนิยายและภาพยนตร์ จนทำให้ผมนึกถึงชื่อภาพยนตร์ฮ่องกงเรื่องหนึ่ง ที่ถูกให้ชื่อภาษาไทยว่า “หัวใจเธอมันน่ากราบ” น่าจะเหมาะสมกับความทรหดของเธอ

จุรีได้หลบหนีไปตามที่ต่าง ๆ และมีบางครั้งที่เธอเกือบถูกจับตัวได้อย่างหวุดหวิด

ครั้งหนึ่งในขณะที่เธอเอาลูกฝากไว้ที่สถานดูแลเด็กของชุมชนชาวอะบอริจิน เพื่อทำงานหาเงินมาเลี้ยงลูกน้อย ตำรวจได้บุกเข้าค้นที่ทำงานของเธอ แต่ด้วยความช่วยเหลือของนายจ้าง เธอสามารถหลบหนีออกทางประตูหลัง  แล้วไปรับลูกจากสถานดูแลเด็กได้อย่างเส้นยาแดงผ่าแปด ก่อนที่ตำรวจจะไปถึง

ผู้เห็นเหตุการณ์กล่าวว่า มีรถยนตร์ขับโดยชายชาวเอเชียมารับหนูน้อยออกไปจากสถานเลี้ยงเด็ก เพียงไม่กี่นาทีก่อนที่ตำรวจมาถึง

เหตุการณ์หวุดหวิดถูกตำรวจจับได้ทำนองนี้เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แล้วเธอก็สามารถหลบหนีไปได้อย่างหวุดหวิดอีก

@@@@

นครซิดนีย์สถานที่ที่โลมิโอและจุรีเดินทางมาสร้างครอบครัวในปลายทศวรรษที่ ๘๐ : ภาพโดยจิงโจ้นิวส์

หนังสือพิมพ์ไทย-ออสนิวส์ถูกดึงให้เข้ามาเกี่ยวข้องในเดือนมกราคม ๑๙๙๑ เมื่อโลมิโอติดต่อขอให้ไทย-ออสนิวส์เสนอข่าวตามหาภรรยาชาวไทยและบุตรชายได้หายไปจากบ้านอย่างไร้ร่องรอย และเป็นห่วงในความปลอดภัยของทั้งสอง โลมิโอกล่าวว่าเขายังรักภรรยาและลูกมาก  ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันไม่เคยมีการใช้ความรุนแรงใด ๆ เลย

หลังจากหนังสือพิมพ์ออกไปแล้ว โลมิโอได้แวะเข้ามาคุยกับทีมงาน   แรกทีเดียวเราก็หวังจะให้สามีภรรยาได้พบและปรับความเข้าใจกัน แต่พอได้ฟังเรื่องที่เขาเล่า   พวกเราชักเริ่มเขว ใจเริ่มเปลี่ยนมาเทให้กับฝ่ายหญิง  เราปฎิเสธอย่างนิ่มนวลที่จะนำเสนอเรื่องราวของเขาอีก

แต่โลมิโอก็สามารถหาทางลงจนได้ คราวนี้เป็นโฆษณา ที่เราไม่สามารถบ่ายเบี่ยงได้   เพราะเขาเอาคำสั่งศาลมาให้พิมพ์โฆษณา.. ต้องการให้ลงหน้าหนึ่งเป็นภาพของจุรี เป็นโฆษณาให้รางวัลแก่ผู้ให้เบาะแสที่อยู่ของจุรีอยู่ภายในฉบับ แต่ฝ่ายเราเห็นว่าแรงไป   เพราะจุรีไม่ได้ทำความผิดใด ๆ นอกจากฝ่าฝืนคำสั่งศาล จึงตกลงให้ใช้ภาพเด็กขึ้นหน้าหนึ่งแทน

แต่จะด้วยเหตุใดไม่อาจจะทราบได้ เมื่อหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ออกมาจากโรงพิมพ์ ภาพของจุรีปรากฎอยู่ในหน้าหนึ่ง โฆษณาดังกล่าวได้สร้างความไม่พอใจให้กับคนไทยหลายคน ผมเองก็ได้รับคำต่อว่ากับหูจากผู้อ่านถึงสามรายครับ

เรื่องนี้พวกเรายอมรับถึงความผิดพลาดโดยไม่ได้แก้ตัว แต่ก็เป็นความลับที่เก็บมาถึง ๒๐ ปี โดยท่านผู้อ่านไม่ทราบก็คือ ไทย-ออสนิวส์ลงโฆษณาไปตามคำสั่งของศาลครับ

เท่าที่ทราบจากปากของโลมิโอในภายหลัง บอกว่ามีคนไทยที่อยากได้เงินรางวัล ติดต่อมาให้เบาะแสกับเขาด้วยครับ

ในช่วงนั้นเรื่องของจุรีและบุตรชายถูกนำลงในหนังสือพิมพ์หลักตามรัฐอื่น ๆ ในซิดนีย์หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ฉบับหนึ่ง นำเรื่องราวที่ได้จากฝ่ายโลมิโอไปลงถึง ๓ วันติดต่อกัน จึงไม่แปลกอะไร ที่มีผู้อ่านชาวออสซี่เห็นใจโลมิโอและมองว่าจุรีทำไม่ถูก

มีสุภาพสตรีคนหนึ่งในรัฐควีนสแลนด์   ถึงกับติดต่อให้เบาะแสต่อสำนักทนายความผู้ลงโฆษณาว่า   ได้พบจุรีและลูกหลบหนีอยู่ในควีนสแลนด์ ทำให้โลมิโอไปตามหาเธอถึงควีนสแลนด์

@@@@

หลังจากโฆษณาอันนี้แล้ว โลมิโอและไทย-ออสนิวส์ก็หมดความเกี่ยวข้องกัน แต่กับผมยังไม่จบสิ้น กล่าวคือหลังจากนั้นมาระยะหนึ่ง โลมิโอโทรศัพท์เข้ามาที่สำนักงานไทย-ออสนิวส์ บังเอิญผมเป็นผู้รับสายพอดี เขาขอความช่วยเหลือให้ช่วยแปลข้อความบางอย่าง

ผมเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยที่พอช่วยกันได้ อีกประการหนึ่งผมก็อยากทราบข่าวความคืบหน้าของจุรี ผมจึงนัดเจอเขาในเมือง เพราะผมต้องเข้าไปเรียนหนังสือพอดี

การนัดเจอครั้งนั้นสิ่งที่เขาเอามาถามก็คือ ข้อความในไดอารี่ของจุรี ซึ่งผมประเมินจากหมึกต่างสีที่เขียนทับลงไป เชื่อว่าเขาคงผ่านการให้คนไทยคนอื่นแปลก่อนหน้าผมมาพอสมควรแล้ว

ที่เขาถามส่วนใหญ่เป็นชื่อและที่อยู่ของบุคคลต่าง ๆ ในประเทศไทย และข้อความบางตอนที่ถูกใส่เครื่องหมายดอกจันไว้     และไดอารีเล่มนี้ทำให้ผมได้อ่านบันทึกบางอย่างที่จุรีเขียนถึงความผิดหวังในตัวโลมิโอ

@@@@

ทิ้งระยะอีกเป็นปีต่อมา โลมีโอโทรมาหาผมขอร้องให้ผมช่วยพูดภาษาไทยกับใครคนหนึ่งที่เมืองไทย โลมิโอขับรถมารับผมที่ในเมือง แล้วขับพาขึ้นสะพานซิดนีย์ฮาร์เบอร์ไปยังฝั่งเหนือ เล่นเอาผมรู้สึกเสียวต่อการไปกับคนที่ไม่รู้จักดีพอ

โลมิโอพาผมไปที่บริษัทของเพื่อนชาวอิตาลี ที่นั่นเขาขอให้ผมโทรศัพท์ไปเมืองไทยไปบ้านบิดามารดาของจุรี ผมได้โทรศัทพ์ ได้คุยและได้ทราบ.!!….. แต่พอโลมิโอถาม ผมตอบเขาไปว่า คนที่รับปลายทางไม่ให้ข้อมูลอะไรเลย ตอนนั้นผมเห็นว่าควรปล่อยให้เด็กอยู่กับมารดา โดยปราศจากการรบกวนใด ๆ เป็นสิ่งที่พึงทำที่สุด

การเจอกันครั้งนั้น โลมิโอได้ฝากของใช้ของจุลีให้ผมช่วยเก็บไว้   เพราะเขามีที่อยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง สิ่งที่เขาฝากเป็นไม้เทนนิสดันล็อปหนึ่งอัน ซึ่งผมเอามาแขวไว้ที่ประตูห้องเก็บของ ปัจจุบันถูกปรับเป็นห้องอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ของหลาน ๆ แต่ไม้เทนนิสก็ยังแขวนอยู่ที่เดิม กับกระเป๋าใส่ของอีกใบหนึ่ง

เท่าที่จำได้ในกระเป๋ามีมุ้งหนึ่งหลัง นอกนั้นจำไม่ได้ ผมเอาไปเก็บไว้ที่เพิงเก็บของหลังบ้านตั้งแต่นั้นมา และก็ไม่ได้แตะต้องมันอีกเลย   เพื่อนสนิทมิตรสหายของจุรีถ้าต้องการขอคืน โปรดติดต่อได้ที่เว็บไซท์ข้างบนครับ

นับจากนั้นผมก็ขาดการติดต่อกับโลมิโอ จวบจนกระทั่งอีกหลายปีผ่านมา ผมมาพบโลมิโอโดยบังเอิญที่เซอร์คิวล่าคีย์ เขามากับผู้หญิงคนหนึ่ง   ซึ่งเขาแนะนำว่าเป็นเพื่อนหญิงของเขา สตรีคนนี้เป็นดาราภาพยนตร์ รูปร่างผอมสูงเหมือนคนขี้โรคไม่สะสวยอะไร น่าจะเป็นตัวประกอบเล็ก ๆ มากกว่าเป็นดาราใหญ่

เรานั่งคุยกันที่คอฟฟี่ช็อปประมาณชั่วโมงหนึ่ง โลมิโอบอกว่า เขายังไม่ล้มเลิกการตามหาจุรีและลูก   โดยเชื่อว่าทั้งสองน่าจะอยู่ในซิดนีย์ นักสืบโลมิโอปักใจเชื่อว่า จุรีได้แต่งงานใหม่ และลูกชายของเขาได้เปลี่ยนชื่อและใช้นามสกุลของสามีคนใหม่

ทิ้งมาอีกจนกระทั่งประมาณปี ๒๐๐๐ บวกลบไม่เกิน ๒ ปี ผมมาพบโลมิโออีกครั้งหนึ่ง ที่หอศิลปร่วมสมัยที่เซอร์คิวล่าคีย์   เขาอยู่ในชุดสูตรงามสง่า มาเข้าชมงานแสดงภาพถ่ายของศิลปินระดับโลกคนหนึ่ง ตอนนั้นค่าเข้าชมประมาณ ๑๕ เหรียญ ตกค่าเข้าชมประมาณภาพละ ๕๐ เซนต์

เจอกันครั้งนี้ทำให้ผมทราบว่า โลมิโอเป็นนักชมภาพศิลปะ นักฟังเพลงคลาสิค   และชื่นชอบภาพยนตร์สารคดีและหนังอาร์ตตัวยงทีเดียว

โลมิโอบอกว่า ในช่วงที่ผ่านมาเขาต้องเข้าผ่าตัดหัวใจสามเส้น เพื่อนหญิงของเขาได้เสียชีวิตลงจากโรคมะเร็ง และเขายังคงเที่ยวตามหาจุรีและลูกชายของเขาเช่นเคย

@@@@

ความสวยงามตามธรรมชาติของภูลังกา : Credit govivigo (หากขัดข้องโปรดแจ้งด้วยเพื่อทำการลบภาพออกไป

ผมขาดการติกต่อกับโลมิโอไปนาน จนกระทั่งในเดือนตุลาคมปี ๒๐๐๙ ที่ผ่านมา เขาโทรศัพท์มาที่บ้าน แจ้งความจำนงอยากจะขอพบผม ผมจึงนัดให้ไปเจอกันที่ไชน่าทาวน์ ในวันอาทิตย์ของวันหนึ่ง ซึ่งผมมีกำหนดไปตัดผมพอดี

โลมิโอในอีก ๑๐ ปีต่อมาดูแก่ลงไปมาก ทันทีที่เราหาที่เหมาะ ๆ นั่งคุยกัน ผมก็ยิงคำถามไปว่า “ไม่คิดจะกลับไปอิตาลีหรือ?” เขาก็ตอบว่า คิดอยู่ตลอดเวลา แต่ตราบใดที่ยังไม่ทราบข่าวคราวจากลูกหรือตราบใดที่ลูกยังไม่รู้ว่าเขาคือพ่อ   เขาก็จะไม่ไปไหน จะยังคงตามหาต่อไป

โลมิโอยังคงเชื่อว่า จุรีและลูกชายของเขายังคงอยู่ที่ซิดนีย์ ตอนนี้กำลังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งใดแห่งหนึ่ง

ผมถามว่า แล้วเขาต้องการอะไร? โลมิโอบอกว่า ต้องการได้เห็นหน้าลูกสักครั้ง แต่ถ้าลูกไม่อยากพบ ก็ขอให้ลูกรับรู้ว่าเขายังมีพ่อที่รักลูกมาก

ผมจึงบอกว่า มันเหนื่อยนะต่อการเที่ยวตะลอน ๆ ตามหาลูกอย่างไร้จุดหมาย ผมจึงแนะนำให้เขาเขียนการ์ดสักหนึ่งฉบับ เป็นข้อความสั้น ๆ ว่า เขาคือพ่อ อยากพบลูกสักครั้ง แต่ถ้าไม่อยากพบหน้า ก็ขอให้ได้พูดคุยได้ยินเสียง หรือรูปถ่ายสักใบหนึ่ง   แล้วให้นำการ์ดนี้ไปให้กับ..A.. ซึ่งผมเชื่อว่าถ้าเธอได้รับ เธอน่าจะต้องติดต่อไปยังจุรี จากนั้นจะเป็นการตัดสินใจของจุรีเองว่า จะยอมบอกลูกไหม? และจะจัดการอย่างไรต่อไป?

โลมิโอบอกว่า เขาพยายามเจรจากับบุคคลเหล่านี้มาเกือบ ๒๐ ปีแล้ว แต่ไม่ได้ผล พวกเขาหลีกเลี่ยงและไม่ยอมพูดด้วย

ผมจึงอัดกลับไปว่า สิ่งที่เขาทำไป ถ้าเป็นผมก็ไม่เล่นด้วย มีอย่างหรือ? พาตำรวจไปบุกบ้านเขา เฝ้าแอบดูบ้านเขา ไปดักรอที่ป้ายรถเมล์ ขับรถตาม   หรือดักพบในลิฟท์เป็นใคร ๆ ก็กลัวทั้งนั้น

ผมแนะนำให้เขาแต่งตัวสุภาพ แล้วไปหาเธออย่างเปิดเผยในที่ทำงาน ต่อหน้าเพื่อนร่วมงาน ยื่นการ์ดให้เธออ่าน แล้วบอกให้ช่วยผ่านต่อให้จุรี จากนั้นก็ให้รีบลากลับอย่าสุภาพ   แล้วให้รอผลที่ออกมา ห้ามใช้พฤติกรรมนักสืบเป็นอันขาด

@@@@

จากนั้นมาอีก ๔ เดือน โลมิโอได้โทรศัทพ์ขอพบผมอีกครั้ง ผมจึงนัดพบเขาในเมืองในวันนี้ (๓๐ มกราคม ๒๐๑๐) นัดเจอที่ร้านขายเครื่องอิเล็กทรอนิกส์  เพราะผมต้องการซื้อเครื่องอัดเสียงดิจิตัล เนื่องจากเครื่องเดิม Window 7 ไม่ยอมรับเครื่องอัดเสียงดิจิตัลที่มีอยู่ ดาวน์โหลดจากอินเตอร์เน็ตก็ไม่ได้

ออกจากร้านแล้ว จึงเดินไปหาที่เงียบ ๆ คุยกันที่สวนสาธารณะไฮปาร์ค โลมิโอบอกว่า เขาได้ทำตามคำแนะนำอย่างที่ผมบอก แต่เมื่อไปที่ทำงานกลับพบว่า   บุคคลเป้าหมายได้เกษียณอายุงานไปก่อนหน้านี้แล้ว

ในวันนี้โลมิโอหลั่งน้ำตาสะอึกสะอื้น เขาบอกว่าเขาเหนื่อย ตลอด ๒๐ ปีที่ผ่านมา เขานอนหลับไม่เป็นสุขแม้แต่วันเดียว เขาต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาในตอนเที่ยงคืน จากนั้นก็ไม่สามารถข่มตาหลับจนถึงเช้า.. สิ่งที่เขาต้องการเพียง อยากให้ลูกรู้ว่า เขายังมีพ่ออยู่ และพ่อคนนี้ก็รักเขามาก

น้ำตาลูกผู้ชายทำให้ผมปลอบใจเขาว่า ขอให้เขาทำตัวเฉย ๆ อย่าได้ทำตัวเป็นนักสืบสักสามเดือน เพื่อผมจะคิดหาทางออกให้ ดูเหมือนเขาจะยอมรับ   ผมคุยกับเข้าได้ประมาณ ๑ ชั่วโมง แล้วต้องขอแยกตัวมา เพราะผมมีนัดกับหลานชายไว้ที่บ้าน

ในคืนวันนี้ผมชั่งใจอยู่ไม่นาน ว่าถึงเวลาแล้วที่ผู้ที่เกี่ยวข้องควรตัดสินใจกันเอาเองว่า พวกคุณจะปลดปล่อยชายคนนี้ให้พ้นจากความทุกข์ทรมานหรือไม่ ส่วนผมซึ่งไม่เกี่ยวข้องโดยตรง แต่ได้เข้าไปร่วมในบ่วงกรรมนี้ด้วย ในฐานะที่เป็นผู้ปิดบังความลับบางอย่างไว้ คงจะไม่มีหน้าที่อะไรมากนัก

อีกไม่กี่วันเด็กน้อยเมื่อ ๒๐ ปีที่ผ่านมา จะมีอายุ ๒๒ ปี อายุนั้นเกินนิติภาวะไปแล้ว เขาสมควรที่จะทำหน้าที่ของลูกสักครั้งหรือไม่ ที่จะปลดปล่อยบิดาบังเกิดเกล้าให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทรมาน ถ้าเขาไม่อยากให้พ่อพบ ไม่อยากให้เห็นตัวเป็น ๆ ก็ให้รูปเขาสักใบหนึ่ง ถ้าไม่อยากให้เห็นภาพ ก็ให้ได้ยินเสียง ถ้าไม่อยากให้ได้ยินเสียง ก็ขอให้เป็นลายมือ

ส่วนผู้ที่เกี่ยวข้อง ก็ขอให้เอาใจเขามาใส่ใจเราบ้าง ถ้าคุณมีลูกผมเชื่อว่าคุณก็ต้องรักลูกของคุณมาก มันก็ไม่ต่างจากโลมิโอที่รักลูกของเขา ถ้าเกิดมีใครมาพลากลูกคุณไป ผมเชื่อว่าคุณต้องเป็นทุกข์ไม่น้อยไปกว่าที่โลมิโอทุกข์ครับ

เมื่อ ๒๐ ปีที่แล้วมีคนกลุ่มหนึ่ง รวมถึงบุคคลที่ถนนแมควอรี่ได้ช่วยกันสร้างบุญช่วยเหลือสตรีและเด็กคนหนึ่งให้พ้นทุกข์ แต่บุคคลเหล่านี้จะรู้ไหมว่า พวกเขาได้ช่วยกันทำบาปให้กับบุรุษอีกคนหนึ่ง เขาทรมานมาตลอด ๒๐ ปี  บัดนี้ผมขอโยนภาระนี้ให้อยู่ในดุลพินิจของบุคคลเหล่านี้

ผมไม่อาจรับประกันได้ว่า โลมิโอเป็นคนซื่อสัตว์อย่างที่เขาพูดกับผมไว้  ผมยืนยันได้เพียงอย่างเดียวว่าเขาเจ็บปวดทรมาน   และผมก็ไม่รับรองว่าผมจะเก็บความลับในส่วนของผมต่อไปอีกหรือไม่ครับ….

 

jingjonews.com

jingjonews@hotmail.com (งดใช้ชั่วคราว)

จิงโจ้นิวส์เป็นสื่อออนไลน์มีวัตถุประสงค์เพื่อการเผยแพร่ข่าวสาร, บทความและประชาสัมพันธ์เพื่อชุมชน โดยปลอดจากการโฆษณาในเชิงพาณิชย์



Categories: ข่าวออสเตรเลีย, บทความ ตามใจฉัน

Tags: , , , , , , , , , , ,

Leave a Reply

%d