สิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่าขยะ ตอน ๒
โดยไม้ซีกขีด

บทความตามใจฉันตอน “สิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่าขยะ” ปรากฏอยู่ในหนังสือพิมพ์ไทย-ออสนิวส์ฉบับวันที่ 12-25 กุมภาพันธ์ 2014
@@@
ลำดับต่อมาเป็นฉบับที่ ๑๕๙ วันที่ ๑๔ ถึง ๒๗ กันยายน ๑๙๙๕ (พ.ศ. ๒๔๓๘) ด้านซ้ายเป็นภาพจากรอยเตอร์ คุณหญิงสุพัตรา มาสดิตถ์จากประเทศไทยได้รับการเลือกให้เป็นผู้เชิญคบเพลิงแห่งสันติภาพในพิธีเปิดการประชุมสตรีโลกครั้งที่ ๔ ที่ประเทศจีนเป็นเจ้าภาพ สื่อต่างประเทศยกคุณหญิงว่า มีความสามารถเกินพอที่จะเป็นผู้นำของประเทศไทยเลยครับ
ส่วนข่าวใหญ่ตีข่าวว่า “ออสซี่ให้เอเยนต์ท่องเที่ยวออกวีซ่าเข้าประเทศได้” ตอนนั้นรัฐบาลออสเตรเลียให้อำนาจตัวแทนบริษัทท่องเที่ยวในประเทศที่นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาแล้วเคารพกฎกติกาการเข้าเมืองออกวีซ่าได้ โดยไม่ต้องเสียเวลาเสียค่าเดินทางไปทำเรื่องขอวีซ่าที่สถานทูตหรือสถานกงสุล ประเทศที่บริษัททัวร์ออกวีซ่าได้ในตอนนั้นมีอังกฤษ, สหรัฐฯ, ญี่ปุ่น, สิงคโปร์, มาเลเซีย, เกาหลี, ฮ่องกง, สโลวีเนีย, แคนาดา, เม็กซิโก, อิตาลี, เนเธอแลนด์, ฝรั่งเศส, เยอรมันนี, อินโดนีเซีย และตาฮิติครับ
ต่อมาเป็นฉบับที่ ๑๖๐ วันที่ ๒๘ กันยายน ถึง ๑๑ ตุลาคม ๑๙๙๕ (พ.ศ. ๒๕๓๘) มีข่าวพาดหัว “นายกฯไขลานตำรวจจับตรวจแอลกอฮอล์” นายกฯในที่นี้หมายถึงนายบ็อบ คาร์นายกรัฐมนตรีรัฐบาลรัฐนิวเซาท์เวลส์ เรื่องกฎหมายจราจรอยู่ในความดูแลของแต่ละรัฐ ไม่ใช่กิจการระดับประเทศ ส่วนเรื่องการตรวจระดับแอลกอฮอล์เป็นเรื่องพบเห็นทั่วไป ในประเทศไทยก็มีครับ
ข่าวกลางมาจากภาพโฆษณาขนาดใหญ่ในนครเมลเบิร์น ผู้ว่าจ้างทำบิลบอร์ดยักษ์คือกลุ่ม Friend of Pacific เป็นการประท้วงฝรั่งเศสที่จะใช้มหาสมุทรแปซิฟิกเป็นที่ทดลองระเบิดนิวเคลียร์ เป็นภาพบั้นท้ายเปลือยเปล่าของผู้หญิงทาสีธงชาติฝรั่งเศส มือขวาของเธอชูนิ้วกลาง แล้วมีบรรยายว่า “ภาษาไม่เป็นอุปสรรคต่อการแสดงความโกรธแค้นของเราไปยังมร.ชีรัก”
ส่วนข่าวที่สาม “รัฐบาลนซว.เปลี่ยนกฎหมายอนุญาตเปิดซ่องได้” ก็คือรัฐบาลรัฐนิวเซาท์เวลส์ได้แก้ไขกฎหมายให้ใช้ที่อยู่อาศัยเปิดเป็นซ่องโสเภณีได้ ตราบใดที่ไม่รบกวนเพื่อนบ้าน การปิดสถานประกอบกิจการโคมเขียวจะต้องผ่านอำนาจศาลที่ดินและสิ่งแวดล้อมสั่งเท่านั้น
ปัจจุบันกฎหมายนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว ถ้าจำไม่ผิดเทศบาลเจ้าของพื้นที่ก็มีอำนาจสั่งปิดได้ หากตรวจพบว่า มีการดำเนินกิจการที่ขัดต่อกฎหมาย ธุรกิจซ่องโสเภณีเป็นอาชีพหนึ่งที่คนไทยในออสเตรเลียนิยมทำกัน นอกเหนือจากร้านอาหารไทย, สปา และนวดแผนโบราณครับ
ปกฉบับนี้เป็นฉบับที่ ๑๖๒ วันที่ ๒๒ ตุลาคมถึง ๘ พฤศจิกายน ๑๙๙๕ (พ.ศ. ๒๕๓๘) พาดหัวข่าว “พารามัตตาร่วมชาวไทยจัดลอยกระทง ๔ พฤษจิกายนนี้” เนื้อหาในข่าวบอกให้ทราบว่า งานลอยกระทงปีนี้ได้จัดที่พารามัตตาเป็นปีที่สอง และได้จัดอย่างต่อเนื่องจนมาถึงปัจจุบัน ก่อนหน้านั้นงานลอยกระทงจัดขึ้นที่ “ทัมบาลอง ปาร์ค” ในดาร์ลิงฮาร์เบอร์ ส่วนเบื้องหน้าเบื้องหลังในการเปลี่ยนสถานที่จัดงาน คนนอกอย่างผมได้แต่รับฟัง เขาพูดกันไปต่าง ๆ นานา ส่วนมูลเหตุแท้จริงไม่น่ามีอะไรในก่อไผ่
ฉบับนี้ยังบันทึกเอาไว้ว่า พลเมืองชาวออสเตรเลียได้ผ่านหลัก ๑๘ ล้านคน โดยในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๑๙๕ ออสเตรเลียมีพลเมืองทั้งสิ้น ๑๘,๐๐๐,๕๐๐ คนครับ ในปีนั้นสำนักงานสถิติแห่งออสเตรเลียทำนายว่า ในปี ๒๐๑๑ ออสเตรเลียจะมีประชากร ๒๑ ล้านคน ตัวเลขจริงจากการสำรวจสำมะโนประชากรในเดือนสิงหาคม ๒๐๑๑ ออสเตรเลียมีประชากรทั้งสิ้น ๒๑,๕๐๗,๗๑๗ คน ถือว่าใกล้เคียง ส่วนที่เกินมา ๕ แสนคนก็เนื่องจาก ในช่วง ๑๕ ปีที่ผ่านออสเตรเลียรับผู้อพยพสูงกว่าแผนการรับที่ตั้งไว้ในแต่ละปีนั่นเอง
ส่วนข่าวที่สองบอกให้รู้ว่า ครั้งหนึ่งรัฐบาลออสเตรเลียเสนอขายปืนเล็บยาวกึ่งอัตโนมัติคุณภาพสูงให้กับกองทัพของประเทศเพื่อนบ้าน โดยตั้งเป้าหมายขายให้กับกองทัพไทย, มาเลเซียและอินโดนีเซีย อุตส่าห์ทุ่มเงินในการทำตลาดไป ๘๐๐,๐๐๐ เหรียญ แต่ก็ไม่สามารถสู้คู่แข่งอีก ๑๑ ประเทศได้ ผลจบลงที่กองทัพไทยสั่งซื้อเกือกม้า ๖,๐๐๐ อันในราคา ๓๐,๐๐๐ เหรียญ เรียกได้ว่าขาดทุนป่นปี้ จากนั้นมาผมก็ไม่ได้ข่าวว่า ออสเตรเลียพยายามจะขายอาวุธให้เพื่อนบ้านอีกเลย คงจะเข็ดนะครับ
ข้ามมาที่ฉบับ ๑๗๐ วันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ถึง ๖ มีนาคม ๑๙๙๖ (พ.ศ. ๒๕๓๙) เปิดหัวข่าวด้วย “จับสาวจิงโจ้ ขนฝิ่นในไทย” เป็นคดีของน.ส. ลิซ่า มารี สมิท วัย ๒๐ ปีผู้ซึ่งบิดามหาเศรษฐีนักธุรกิจแต่งานรัดตัว ได้มอบของขวัญในช่วงปิดเทอมใหญ่ให้บุตรสาวมาท่องเที่ยวเมืองไทยตามลำพัง ที่ประเทศไทยเธอเกิดไปปิ๊งกับหนุ่มรูปหล่อคนหนึ่ง หลังจากถูกพิษรักจนทำให้ตาบอดแล้ว ชายหนุ่มได้ชวนเธอไปเที่ยวต่อที่ญี่ปุ่น โดยเขาเดินทางล่วงหน้าไปก่อน แต่ได้ฝากกระเป๋าเดินทางใบหนึ่งเนื่องจากน้ำหนักเกิน ลิซ่าถูกจับที่สนามบินดอนเมือง หลังจากเจ้าหน้าที่ตรวจพบกระเป๋าใบนั้นแอบซ่อนฝิ่นบริสุทธิ ๕๐๐ กรัม และยาบ้าอีก ๕๖๕ เม็ด
ลิซ่าน่าจะเป็นชาวต่างชาติคนแรกและคนสุดท้ายที่ถูกจับคดียาเสพติดแล้วได้รับการประกันตัวในระหว่างรอดำเนินคดี แถมใจดีไม่ยึดหนังสือเดินทาง แล้วจะไปเหลือหรือ?!!!
ถึงปัจจุบันนี้ ลิซ่ายังคงหลบหนีการจับกุมขององค์การตำรวจอาชญากรรมระหว่างประเทศ หรือ “อินเตอร์โพล” อยู่ในส่วนหนึ่งส่วนใดของโลก ชีวิตอันสดใสของเธอ ต้องเปลี่ยนไปอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ เพียงเพราะไปหลงรักซาตานที่เธอคิดว่าเป็นเทพบุตรนั่นเอง
(หมายเหตุ บัจจุบันมีผู้พบที่อยู่ของลิซ่า มารี สมิทแล้ว ท่านสามารถอ่านเรื่องราวของเธอได้จากข่าวจิงโจ้นิวส์ในหัวข้อข่าว “สาวออสซี่หนีคดียาฯไทย ถูกสงสัยอยู่ในไอร์แลนด์” วันที่ 7 กรกฎาคม 2014 และข่าว “Lisa Marie Smith ถูกเปิดเผย เหตุเพราะแฟนทะเลาะแก๊งวัยรุ่น” วันที่ 8 กรกฎาคม 2014)
ข่าวที่สอง “ให้ออสซี่เป็นแหล่งอาหารโลก” อันนี้ก็คงเหมือนประเทศไทยที่สหประชาชาติกำหนดให้มีบทบาทเป็นผู้ผลิตอาหารหล่อเลี้ยงชาวโลก ที่คาดว่าจะขาดแคลนในอนาคต
ข่าวน่าสนใจอีกข่าวหนึ่ง เป็นภาพสตรีด้านขวา เธอคือนางลิซ คันนิงแฮมผู้เพิ่งได้รับเลือกตั้งเป็นส.ส.อิสระของรัฐสภารัฐควีนสแลนด์ ที่สำคัญก็คือเธอกลายเป็นสตรีผู้กำหนดชะตากรรมของรัฐควีนสแลนด์ เพราะผลการเลือกตั้งส.ส.จำนวนทั้งสิ้น ๘๙ ที่นั่ง ผลออกมาพรรคเลเบอร์และพรรคลิเบอรัล-เนชั่นแนลได้ที่นั่งส.ส.เท่ากันคือ ๔๔ ที่นั่ง อีกทั้งรัฐนี้เป็นรัฐเดียวในออสเตรเลียที่ไม่มีวุฒิสมาชิก หญิงสาวผู้ได้รับเลือกตั้งเป็นส.ส.ครั้งแรกในชีวิตจึงเป็นผู้ชี้ชะตาบ้านเมืองในการเลือกหนึ่งในสองพรรคนี้เป็นรัฐบาลครับ
ฉบับติด ๆ กันมา เป็นฉบับที่ ๑๗๑ วันที่ ๗ ถึง ๒๐ มีนาคม ๑๙๙๖ (พ.ศ. ๒๕๓๙) ขึ้นหัวข่าว “เลือกตั้งเลเบอร์แพ้หมดรูป โฮวาร์ดขึ้นนายกฯ” หน้าปกขึ้นภาพจากซ้ายมือคุณวสันต์ กสิศิลป์, ดร.ทรงศรี ฟอแรน, นายจอห์น เฮาเวิร์ด, คุณราตรี ดวงรัตน์ และคุณทองบ่อ แก้วสะเทือน ใต้ภาพมีข้อความบรรยายว่า “นายจอห์น โฮวาร์ด นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของออสเตรเลีย ถ่ายภาพร่วมกับกลุ่มคนไทย เมื่อวันแรกที่ได้รับคัดเลือก ให้เป็นผู้นำพรรคเพื่อรณรงค์ชิงชัย นำพรรคสู่การเป็นรัฐบาล”
ผลการเลือกตั้งส.ส.จำนวน ๑๔๘ ที่นั่งในครั้งนั้น พรรคลิเบอรัล-เนชั่นแนลได้ ๙๔ ที่นั่ง พรรคเลเบอร์ได้ ๕๐ ที่นั่ง และผู้สมัครอิสระอีก ๔ ที่นั่ง ทำให้นาย “โฮวาร์ด” ซึ่งต่อมามีนักภาษาศาสตร์ทักท้วงให้เปลี่ยนมาเขียนว่านาย “เฮาเวิร์ด” ผู้นำพรรคฝ่ายค้านกลายเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ ๒๕ ของออสเตรเลีย เขาอยู่ในตำแหน่งนานถึง ๑๑ ปีก่อนนำพรรคแพ้เลือกตั้งใหญ่ต่อนายเควิน รัดด์หัวหน้าพรรคเลเบอร์เจ้าของสโลแกน “Kevin 07” ในปี ๒๐๐๗ ครับ
ตามมาติด ๆ ด้วยฉบับที่ ๑๗๒ วันที่ ๒๑ มีนาคม ถึง ๓ เมษายน ๑๙๙๖ (พ.ศ. ๒๕๓๙) ที่เอามาลงให้ดูก็เพราะฉบับนี้เล่นปกด้วยสีส้มที่ดูแตกต่างจากฉบับอื่น ๆ เป็นภาพนายจอห์น เฮาเวิร์ดถ่ายภาพร่วมกับบรรดาส.ส.และส.ว.หญิงของพรรคที่ได้รับเลือกตั้งมาทั้งสิ้น ๒๕ คน
ฉบับนี้ขึ้นหัวข่าวว่า “ฟ้องเอเยนต์อิมฯชื่อดัง รับจ้างแต่งงานเก๊” เนื้อข่าวอ้างถึง เอเยนต์ที่ชื่อฮาร์ดี้ ถูกอดีตภรรยาชาวฟิลิปปินส์เอาเรื่องกิจกรรมผิดกฎหมายของเขามาแฉว่า อดีตสามีทำธุรกิจแต่งงานปลอมเพื่อขอวีซ่าถาวรให้กับชาวจีน, เกาหลี, ฟิลิปปินส์ และไทย จนสำเร็จไปแล้วอย่างน้อย ๓๐ ราย
ข่าวที่เสนอไปส่งผลให้นายฮาร์ดีแต่งตั้งทนายฟ้องเรียกค่าเสียหายจากไทย-ออสนิวส์ แต่ความพยายามของเขาไม่เป็นผลสำเร็จ กรรมที่เขาทำไปส่งผลให้นายฮาร์ดี้ถูกศาลตัดสินติดจำคุก ส่วนลูกจ้างชาวไทยที่เอาข่าวไทยออส-นิวส์ถูกฟ้องไปเที่ยวโพนทะนาอย่างสนุกปาก ต้องหลบหนีคดีกลับไปประเทศไทยอย่างหัวซุกหัวซุน
ตรงหัวมุมขวาขึ้นหัวข่าว “จับที่ปรึกษาขอพีอาร์ ขายปริญญาปลอม” เนื้อข่าวระบุว่า ตำรวจได้แอบปลอมเป็นนักศึกษาต่างชาติ ทำทีเข้าไปติดต่อเอเยนซี่การเข้าเมืองเชื้อสายจีนรายหนึ่ง ที่ลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ภาษาจีนในซิดนีย์และในแผ่นดินใหญ่อย่างโจ๋งครึ่มว่า ผู้ใดที่เคยลงทะเบียนเรียนกับวิทยาลัย…..แต่เรียนไม่จบ ให้ติดต่อเขา ผู้ซึ่งสามารถติดต่อให้สถาบันออกประกาศนียบัตรโดยมีให้เลือกได้ใน ๓ สาขาวิชา งานนี้จึงถูกตำรวจย้อนรอยรวบตัวได้อย่างคาหนังคาเขา
ฉบับต่อมาเป็นฉบับสุดท้ายแล้วครับ คือฉบับที่ ๑๗๖ วันที่ ๑๖ ถึง ๒๙ พฤษภาคม ๑๙๙๖ (พ.ศ. ๒๕๓๙) ขึ้นหัวข้อข่าวว่า “อิมฯผิดหวังรับ P.R. อยู่ต่างจังหวัด ได้ผู้อพยพแค่ ๖ คน”
อ้อ..สำหรับท่านผู้อ่านนอกประเทศออสเตรเลีย คำว่า “อิมฯ” หมายถึงกระทรวงการเข้าเมือง หรือ Department of Immigration ส่วน P.R. หรือ พี.อาร์. หมายถึง permanent resident หรือผู้อยู่อาศัยถาวรครับ
เนื้อหาของข่าวกล่าวว่า โครงการสปอนเซอร์รับผู้อพยพเข้าอยู่อาศัยในท้องถิ่นที่มีชุมชนเบาบาง โดยตั้งเป้ารับผู้อพยพในโครงการนี้ ๑๐๐ ราย ปรากฎว่ามีผู้สนใจจำนวน ๖๐๐ ราย แต่ผ่านการพิจารณาเพียง ๖ รายเท่านั้น ทั้งหกมีสมาชิกในครอบครัวติดตามไปด้วยอีก ๗ คน เรียกว่าห่างเป้ามากครับ
แต่ข่าวน่าสนใจในฉบับนี้คือข่าว “ทุกรัฐร่วมใจออกพรบ.แบนปืน” ส่วนสาเหตุที่ทุกรัฐพร้อมใจออกกฎหมายควบคุมอาวุธปืนในรูปแบบเดียวกัน มาจากเหตุการณ์ข่าวตรงมุมล่างด้านซ้าย เป็นสรุปข่าวเหตุการณ์สังหารโหด ๓๕ ศพที่แทสมาเนีย คดีนี้ถูกเรียกว่า the Port Arthur Massacre ถือเป็นคดีประวัติศาสตร์ของชาติ จากการกระทำของนายมาร์ติน ไบรอันท์หนุ่มหน้าใสท่าทางเรียบร้อยนุ่มนิ่มไร้พิษสงใด ๆ แต่แล้วจู่ ๆในวันอาทิตย์ที่ ๒๘ เมษายน ๑๙๙๖ ไอ้หนุ่มลูกคางใสคนนี้ถือปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติเข้าไปในภัตตาคารบรอด แอร์โรว์ คาเฟ่ที่พอร์ท อาร์เธอร์ แหล่งท่องเที่ยวสำคัญในรัฐแทสมาเนีย เขายิงกลาดไปที่กลุ่มนักท่องที่เข้ามารับประทานอาหารเสียชีวิตจำนวน ๒๐ ศพ บาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง จากนั้นจึงออกมาเลือกยิงเหยื่อข้างนอกและตามทางที่เขาผ่านอีก ๑๕ ศพ
คดีนี้ถือเป็นการสังหารหมู่โดยคน ๆ เดียวที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในออสเตรเลีย ปัจจุบันนายไบรอันท์อดีตหนุ่มหน้ามนยังคงชดใช้กรรมอยู่ในเรือนจำโดยไม่มีโอกาสออกมาสู่โลกภายนอกตลอดชีวิตที่เหลือของเขา……พบกันใหม่โอกาสหน้าครับ
jingjonews.com
jingjonews@hotmail.com
จิงโจ้นิวส์เป็นสื่อออนไลน์มีวัตถุประสงค์เพื่อการเผยแพร่ข่าวสาร, บทความและประชาสัมพันธ์เพื่อชุมชน โดยปลอดจากการโฆษณาในเชิงพาณิชย์
Categories: ข่าวออสเตรเลีย, บทความ ตามใจฉัน
Leave a Reply