เรื่องราวของ “ผีแห่งเดอะเกรน” เกิดขึ้นในคืนวันฝนตกและอากาศเปียกชื้นในราวปี ๑๘๒๔ ถึง ๑๘๒๖ (พ.ศ. ๒๓๖๗ ถึง ๒๓๖๙) มีสุภาพบุรุษชาวอังกฤษในวัยหนุ่มคนหนึ่ง นำสุนัขเลี้ยงแกะคู่ใจ เป็นสุนัขตัวใหญ่ขนมีหลายสี เข้าไปหลบฝนในโรงเตี๊ยม (หมายถึงผับขายเหล้า) ของเมืองไกแอมา ชายหนุ่มผู้นี้เพิ่งเดินทางจากกรุงลอนดอน เพื่อมาทำงานกับนายอเล็กซานเดอร์ เบอร์รีที่ฟาร์มคูแลงกัตตา บนบริเวณปากแม่น้ำโชล์เฮเวน
การแต่งกายและกิริยาท่าทางของเขาผิดแผกไปจากลูกค้าคนอื่น ๆ ที่กำลังเมามายอยู่ภายในผับ โดยปกติผู้เดินทางไปต่างถิ่น จะพยามยามไม่ทำตัวเด่นและต้องซุกซ่อนของมีค่าเพื่อปกป้องอันตรายจากการถูกโจรจี้ปล้น แต่ชายหนุ่มจากลอนดอนผู้นี้ดูซื่อเสียจนเซ่อ ไม่รู้ว่าสิ่งที่เขากำลังทำจะนำไปสู่อันตรายถึงชีวิต
ภายในผับเขาได้แนะนำตัวเองให้ทุกคนได้รู้จัก ในฐานะคนต่างถิ่นผู้ผ่านมาเยือน พร้อมแสดงความเป็นมิตรแก่คนตัดไม้ทุกคนที่เข้ามาหาความสำราญด้วยการเลี้ยงเหล้าฟรี แถมยังเอากระเป๋าเงินที่เต็มไปด้วยเหรียญทองคำออกมาโอ้อวดความมั่งมี
ในคืนนั้นทุกคนในร้านเมามายจนหลับไหล บ้างก็ฟุบลงกับโต๊ะ บ้างก็นอนแผ่กับพื้น ยังคงเหลือแต่ชายหนุ่มจากลอนดอน และคนตัดไม้อีกสองคนยังคงพูดคุยกันด้วยเสียงอ้อแอ้ ต่อมาชายหนุ่มได้ยันตัวลุกขึ้น ยืนเซไปเซมา เขาผิวปากเรียกสุนัขคู่ใจให้ลุกขึ้น แล้วกล่าวคำอำลาผู้ร่วมสนทนาว่า เขาจะต้องเดินทางต่อ เพื่อไปพบนายจ้างให้ทันตามกำหนด
ชายสองคนจึงพูดด้วยสำเนียงค็อกนีย์อย่างคนไม่มีสกุลในลอนดอนถิ่นที่เขาจากมาว่า การเดินทางบุกป่าตามลำพังในเวลาค่ำคืนมีอันตรายมาก พวกเขาไม่สามารถปล่อยให้นายน้อยเดินทางไปโดยมีเจ้าหมาตัวโตเป็นเพื่อนเดินทางเท่านั้น ทั้งสองยินดีที่จะเดินทางไปเป็นเพื่อน ชายหนุ่มตอบรับด้วยภาษาและสำเนียงที่แตกต่างกันว่า “นั่นเป็นความกรุณาอย่างยิ่งขอรับ”
ชายสามคนและสุนัขหนึ่งตัวได้ออกจากผับไปในคืนนั้น แล้วหายไปอย่างลึกลับ ชายหนุ่มไม่ได้ไปพบมร. เบอร์รี ส่วนชายตัดไม้อีกสองคนก็หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย
เวลาผ่านไปอีกหลายเดือน เรื่องราวชะตากรรมของชายหนุ่มคงไม่ถูกเปิดเผยออกมา จนกระทั่งนักโทษหนุ่มที่ถูกมอบหมายให้มาทำงานรับใช้ที่ฟาร์มของมร. เบอร์รี เกิดเดินหลงทางอยู่ในป่าทึบ ในบริเวณที่ซึ่งปัจจุบันคือตำบลเกอร์ริงกอง (Gerringong) สถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งของไกแอมา หลังจากเขาหายไป ทีมออกติดตามจากฟาร์มของมร.เบอร์รีจึงเกิดขึ้น ในอีกสี่หรือห้าวันต่อมาจึงไปพบตัวเขาในสภาพเปียกชื้น หนาวสั่น หิวโหย และหวาดกลัวอย่างคนเสียจริต เรื่องราวลึกลับที่เขาไปพบได้ถูกเปิดเผยออกมา และถูกเล่าขานสืบต่อกันมาถึงปัจจุบัน
@@@@
ชายหาดของไกแอมา เขียนโดย Henry Gritten ในช่วงปี ๑๘๖๐ ถึง ๑๘๖๓ จากภาพสเก็ตของ Robert Hoddle ในปี ๑๘๓๐
นักโทษผู้ทำหน้าที่เป็นคนรับใช้รายนี้มีความชำนาญเส้นทางเดินป่าเป็นอย่างดี เพราะทำหน้าที่นี้ให้มร. เบอร์รี บ่อย ๆ เล่าว่า เขาได้เดินผ่านป่าทึบตรงไปยังทิศใต้ ในช่วงระหว่างไกแอมาและฟาร์มของนายจ้าง แต่เกิดหมอกลงจัดทำให้เขาพลัดหลง เขาพยายามหาทางออกแต่ก็สิ้นหวัง ความเหนื่อยอ่อน และหิวโหย และฝนกำลังจะตก ทำให้เขาตัดสินใจทำเพิงอย่างหยาบ ๆ เพื่อเป็นที่หลบฝนและนอนพักค้างคืน ในขณะนั้นเขามีสิ่งของติดตัว เพียงแค่ยาเส้น กล้องสูบยา และหินเหล็กไฟสำหรับติดไฟเท่านั้น
วันที่สองเขาพยายามเที่ยวค้นหาร่องรอย เพื่อออกจากป่าทึบ แต่ก็สิ้นหวังเป็นคืนที่สอง ทำให้เขาต้องหากิ้งไม้ใบไม้มาทำเพิงที่พักอย่างหยาบ ๆ อีกคืนหนึ่ง คืนนี้ฝนตกหนักกว่าคืนก่อน ความเหนื่อยอ่อนทำให้เขาน่าจะนอนหลับยาวไปถึงเช้า ถ้าไม่เกิดเหตุคล้ายกับมีมืออันเยือกเย็นมาเขย่าไหล่ของเขา เขาผงกศีรษะขึ้นมองดู แสงจากฟ้าแลบทำให้เขาเห็นมือและท่อนแขนที่เปื้อนไปด้วยเลือด มันถูกตัดขาดในระดับข้อศอกวางอยู่ใกล้ศีรษะของเขา และเขายังได้ยินเสียงคนเลื่อยต้นไม้ดังแผ่ว ๆ มาแต่ไกล จากนั้นเพียงไม่กี่อึดใจ ภาพท่อนแขนอันน่าสะพรึงกลัวและเสียงเลื่อยไม้ได้จางหายไป
ชายคนนั้นนอนอยู่ด้วยความสั่นกลัวท่ามกลางอากาศหนาวเย็น ก่อนที่จะม่อยหลับไปโดยไม่รู้ตัวเมื่อใกล้รุ่งสาง เขาหลับไหลไปกี่ชั่วโมงไม่อาจทราบได้ แล้วอีกครั้งหนึ่งเขาถูกปลุกให้ตื่น ด้วยเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดก้องกังวานไปทั่วป่า จากนั้นเขาได้ยินเสียงคนเลื่อยไม้ดังขึ้น เขาหันไปมองตามเสียง ทันใดนั้นเขาเห็นร่างสองร่างกำลังเลื่อยไม้ ชายคนหนึ่งยืนอยู่ในหลุ่มมีเพียงศีรษะและช่วงไหลของเขาเท่านั้นที่โผล่ออกมาให้เห็น อีกคนหนึ่งยืนอยู่ที่ริมหลุม ทั้งสองช่วยกันเลื่อยต้นซีดาร์ส่งเสียงดังไปตามจังหวะของการชักตัวเลื่อย
การตัดต้นเรด-ซีดาร์ในในพื้นที่อิลลาวาร์ร่า ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ไกแอมา หลังจากเหตุการณ์ที่ผมเล่าอีกหลายสิบปี
การตัดต้นเรด-ซีดาร์ในพื้นที่อิลลาวาร์ร่า อีกภาพหนึ่ง การเลื่อยไม้ลักษณะนี้มั้งที่ทำให้คนมองคล้ายคนหนึ่งยืนบนศีรษะอีกคนหนึ่ง
บางข้อมูลก็ว่าเขาเห็นร่างคนตัดไม้สองคน คนหนึ่งยืนอยู่บนศีรษะของอีกคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ในหลุมเตี้ย ๆ กำลังทำการเลื่อยต้นซีดาร์ คืนนี้ความกล้วแพ้ความอ่อนเพลีย เขาม่อยหลับไปช่วงใดช่วงหนึ่งของยามรัตติกาล
เช้าวันใหม่มาถึง เป็นวันที่อากาศครึ้ม แต่เขาอ่อนแอเกินกว่าที่จะเดินทางออกจากหุบเขา เขาจัดการกึ่งเดินกึ่งคลานไปยังทิศทางของทะเลได้ประมาณกิโลเมตรเศษ ถึงจุดนี้เขาตัดสินใจตั้งเพิงที่พักอย่างหยาบ ๆ และโชคดีที่เขาสามารถฆ่าตัวตะกวด (ตัวอีกัวน่า) ได้หนึ่งตัว จึงจัดการจุดไฟปิ้งกินอย่างเอร็ดอร่อยจนแทบไม่เหลือเศษซาก
พอตกตอนค่ำเมฆฝนจากทางตะวันตกนำพาเอาฝนตกหนักและฟ้าคะนอง และมีลมแรงตลอดทั้งคืน ไปจบสิ้นลงในตอนกลางวันของวันใหม่ แต่ความชื้นทำให้เขาไม่สามารถติดไฟได้อีก ความกลัว ความเหนื่อยและความหิว และอ่อนแรง ทำให้คนรับใช้รายนี้ใช้กำลังที่เหลือค่อย ๆ คลานไปในระยะ ๕๐ หลาเข้าไปซุกตัวอยู่ภายในโพรงของลำต้นไม้ใหญ่ที่ล้มโค่นขวางอยู่ ภายในนั้นแห้งพอที่จะให้เขานอนหลบฝน และฟุบหลับลงอย่างเหนื่อยล้า
เสียงฟ้าผ่าดังสนั่นก้องป่าได้ปลุกให้เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งในเวลากลางคืน เขาพลิกตัวอยู่ภายในโพรงท่อนไม้ เงยศีรษะมองออกไปยังปลายท่อนไม้ที่กลวงเป็นโพรง ภาพภายนอกที่มองลอดออกไป ทำให้หัวใจเขาแทบหยุดเต้น เขาเห็นศีรษะคนตายหน้าตาสยดสยอง ดวงตากลวงโบ๋กำลังจ้องมองมาที่เขา ข้างศีรษะนั้นเขาเห็นร่างสีดำ ๆ คล้ายสุนัขนอนอยู่ เขากลับมาให้ความสนใจกับศีรษะที่ปราศจากร่างนั้น มันเริ่มขยับปากสีดำพูดอะไรสักอย่างที่เขาไม่ได้ยิน เพราะถูกกลบด้วยเสียงฟ้าคำราม แล้วศีรษะนั้นก็อันตรธานหายไป
คนรับใช้หนุ่มได้จัดการออกจากโพรงไม้ เขาเอามือลูกหน้าเพื่อปัดน้ำฝนที่ไหลเข้าตา เดินก้าวออกมาได้ไม่กี่ก้าว เท้าของเขาได้เหยียบไปบนร่างของชายเจ้าของศีรษะที่หลุดหายไป ไม่ไกลนักเขาเห็นเงาตะคุ่มสีดำ แสงฟ้าแลบแปล๊บ ๆ ทำให้เขาเห็นปีศาจสุนัขเลี้ยงแกะตัวใหญ่กำลังเลียศีรษะเจ้านายของมันอยู่ไม่ไกลจากร่างของเขานัก ชายหนุ่มเบนหน้าหนีไปอีกทางหนึ่ง แสงฟ้าแลบทำให้เขาเห็นภาพชายสองคนกำลังเลื่อยต้นไม้ หนนี้ทั้งคู่ยืนเลื่อยต้นซีดาร์อยู่บนระดับพื้นดิน เขาได้ยินทั้งสองพูดว่า “เขายังมีทองเหลืออีก ๕๐ เหรียญ มาเผาร่างใอ้หน้าโง่นี่เถอะ แล้วเฉือนคอไอ้หมาระยำนี้ด้วย”
จากนั้นเสียงกรีดร้องและเสียงหัวเราะได้ดังลั่นป่า ทำให้ชายคนรับใช้ต้องหลับตาและเอามือปิดหู จนเสียงอันน่าสะพรึงกลัวได้จางหายไป เขาลืมตาขึ้นมาต้องกับแสงฟ้าแลบสว่างราวกับกลางวัน ทำให้ตาของเขาพร่ามัวไปชั่วระยะหนึ่ง เมื่อปรับสายตาได้ ร่างชายหัวขาด ปีศาจสุนัขเลี้ยงแกะ และชายตัดไม้ได้หายไป ปล่อยให้เขาอยู่อย่างโดดเดียวกับความเงียบสงัดในกลางป่าลึก
ทีมค้นหาชายคนรับใช้ได้ตามไปพบเขาเดินอย่างไร้จุดหมาย ห่างจากจุดที่เขาพบเหตุการณ์ประหลาดออกไปหลายกิโลเมตร เขาถูกนำกลับมาที่ฟาร์มของมร.เบอร์รี รักษาตัวจนร่างกายกลับมาแข็งแรงดังเดิม เขาได้เล่าเหตุการณ์ประหลาดที่เขาพบในป่าลึกกลางหุบเขาให้ใครต่อใครฟังแต่คนส่วนใหญ่เชื่อว่า สิ่งที่เขาเห็นเกิดจากอาการจิตหลอนมากกว่า
อย่างไรก็ตามเพื่อต้องการแก้ปมปริศนาการหายสาบสูญไปของชายหนุ่มจากลอนดอน และการพิสูจน์สิ่งที่คนรับใช้หนุ่มกล่าวอ้าง คณะกลุ่มบุคคลและชายคนรับใช้ได้เดินทางไปยังป่าลึกของเดอะเกลน ที่นั่นเข้าพบแคมป์ไฟเก่าที่คนเดินทางทิ้งร่องรอยไว้ พบซากกระดูกมนุษย์และกระโหลกศีรษะที่ยังเหลือจากการถูกไฟเผา และไม่ไกลจากจุดนั้นพวกเขาพบโครงกระดูกของสุนัขตัวใหญ่ ที่คอของมันมีร่องรอยของการถูกสับด้วยมีด
@@@@
ภาพอ่าว Black Beach ของไกแอมาวาดโดย Robert Hoddle นักบุกเบิกและนักสำรวจในระหว่างปี ๑๘๓๐ ท่านสามารถดูภาพของจริงได้จากหอสมุดมิเชลในซิดนีย์
นับจากนั้นผีที่หุบเขาของตำบลเกอร์ริงกอง เมืองไกแอมาได้กลายเป็นที่เล่าขานของคนในพื้นที่ สืบต่อกันมารุ่นแล้วรุ่่นเล่า โดยเฉพาะการนำมาเล่ารอบวงแคมป์ไฟเพื่อสร้างบรรยากาศในยามค่ำคืนให้ดูน่าเกรงขามยิ่งขึ้น เรื่องลึกลับนี้ถูกนำไปแต่งเป็นบทกวี และบทเพลงพื้นเมืองโดยผู้ประพันธ์หลายต่อหลายคน
คนพื้นที่ไกแอมาเมื่อร้อยปีก่อนยังเล่าว่า ไม่เพียงแต่คนรับใช้ที่หลงทางเท่านั้นที่เจอผีคนตัดไม้ และผีชายหนุ่มจากลอนดอน ในยามค่ำคืนทุกครั้งที่มีลมพัดแรงเข้าหาชายฝั่ง ชาวเมืองจะได้ยินเสียงร้องโหยหวนและเสียงคนเลื่อยต้นไม้ในยามค่ำคืน
สำหรับผีของคนตัดไม้เข้าใจว่าเป็นผีของ “ลอย” กับ “เนฟ” ที่ถูกคนตัดไม้ด้วยกันฆ่าตายในกลางป่าครับ
@@@@
นอกจากนั้นยังมีเรื่องเล่าว่า อีก ๑๐ ปีต่อมาหลังจากการเสียชีวิตของชายหนุ่มจากลอนดอน
นายแพต แมคแอนเนลลี่หนุ่มชาวไอริชช่างแปรรูปท่อนไม้ให้เป็นแผ่นไม้ ผู้อยู่อาศัยร่วมกระท่อมที่พักกับนายเย็ม ฮิกส์ ที่เมืองบูลลี่ห่างจากไกแอมาขึ้นไปทางเหนือ ๔๕ กิโลเมตร
นายฮิกส์ผู้นี้เป็นผู้ใช้แรงงานระดับต่ำสุด เขายังเป็นลูกจ้างของนายแมคแอนเนลลี่อีกด้วย นายฮิกส์ได้ชื่อว่าเป็นคนอารมณ์ฉุนเฉียวง่าย และเป็นที่รู้จักกันดีว่าชอบใช้กำลังในการตัดสินข้อบาดหมางทุกเรื่อง วันที่มีฟ้าคะนองของคืนวันหนึ่ง ในขณะที่ทั้งสองนั่งอยู่ตามลำพังภายในกระท่อม นายแมคแอนเนลลี่กล่าวขึ้นว่า วันนี้บรรยากาศกำลังเป็นใจที่จะเล่าถึงเรื่องผี เขาได้เสนอแนะที่จะเล่าเรื่องผีหัวขาดในหุบเขา
นายฮิกส์ซึ่งเป็นคนที่มีนิสัยนอนไม่ค่อยหลับในคืนที่มีพายุฝน และแสดงอาการวิตกจริตในคืนที่ลมฟ้าอากาศแปรปวน เขาส่งเสียงตะคอกกลับมาทันที ให้นายแมคแอนเนลลี่หยุดพูดเรื่องดังกล่าว เพราะเขาไม่ต้องการฟังเรื่องนี้ ทันใดนั้นลมได้พัดอย่างแรงวูบหนึ่ง จนประตูบ้านเปิดออกมาเอง ตามด้วยเสียงสุนัขหอนอย่างโหยหวล นายฮิกส์ได้แสดงอาการตื่นกล้วจนถึงกับเอามือกุมขมับแล้ว ตะโกนร้อง “กลัวแล้วเงินผี กลัวแล้วไอ้หมาผี พวกมึงยังตามหลอกหลอนกูอีกหรือ!”
นายแมคแอนเนลลี่ถึงกับตะลึงก่อนที่จะพูดว่า “แกใช่ไหมที่เป็นผู้ฆ่าสุภาพบุรุษคนนั้น แกมันเป็นไอ้ฆาตกร” นายฮิกส์ทำหน้าบึ้งตึงเข้าใส่ เขาฉวยเอาท่อนไม้ติดไฟจากเตาผิง แขว่งขู่นายแมคแอนเนลลี่ แล้วหุนหันออกไปจากกระท่อม วิ่งเข้าไปในป่า นับจากนั้นมาก็ไม่มีใครพบเขาอีก
จากวันนั้นมาถึงวันนี้เหตุการณ์ได้ผ่านมาเกือบ ๑๙๐ ปีแล้ว หากมีคำถามว่าพื้นที่ที่ชาวท้องถิ่นเกอร์ริงกอง และไกแอมาเรียกว่าหุบเขาหรือเดอะ เกลนอยู่ที่ใด สถานที่นี้ในปัจจุบันเป็นที่ส่วนบุคคลในชื่อใหม่ว่า Alne Bank อยู่ถัดจากตำบลเกอร์ริงกองออกมาเล็กน้อยครับ…….พบกันใหม่ฉบับหน้า
ภาพนี้คือ Alne Bank ที่ Gerringong จาก Google จุดที่เคยเรียกว่า “เดอะเกลน” ภาพนี้ติดอะไรยาว ๆ คล้ายท่อนไม้ลอยอยู่บนอากาศด้วย เชื่อว่าเกิดจากแสงสะท้อนจากกล้องของ Google ในอดีตตรงนี้คือป่าที่อุดมไปด้วยต้นซีดาร์แดง แต่ปัจจุบันโล่งเตียนหมดแล้ว
หมายเหตุ
อ่านตอน ๑ คลิกที่นี่ “เรื่องลึกลับในออสเตรเลีย…ตอน ๒๐ “ผีคนตัดไม้กับผีชายหัวขาดที่..ไกแอมา” ตอน ๑”
Categories: บทความ ตามใจฉัน
Leave a Reply